จู้กหู้กกู้กราบงามๆ
บิ๊กแมตช์ ฟ้าแดง เป็นคู่ในฝันจริงๆ สนุก ตื้นเต้น เมื่อซิตี้เล่นดีแต่ไม่ชนะ ลิเวอร์พูลเล่นไม่ดี แต่ไม่แพ้
จากที่ตามหลังแมนฯ ซิตี้ 14 คะแนน เมื่อ 15 มกราคม แม้จะเล่นน้อยกว่า 2 นัด ณ เวลานั้นก็ตามที
การชนะรวด 10 นัด ขณะที่ซิตี้ทำแต้มหลุดมือ 3 นัด จากการเสมอ 2 และแพ้ 1
เพียงแต่ตำแหน่งต่อตำแหน่ง ไม่มีจุดไหนที่แมนฯ ซิตี้เป็นรองใครในโลก รวมกับแผนการเล่นการจัดตัว สถานการณ์ ไคลด์ วอล์คเกอร์พ้นโทษแบนจากแชมเปี้ยนส์ ลีกและแกเบรียล เจซุส โดนแบนในเกมที่สองกับแอตเลติโก้ การเล่นในบ้าน สถานการณ์ที่เสมอก็ยังได้เปรียบ
อย่างที่รู้กันว่า การชนะแมนฯ ซิตี้ที่เอติฮัดเป็นเรื่องยาก
ฤดูกาลนี้แมนฯ ซิตี้แพ้ในบ้าน 2 นัด ฤดูกาลที่แล้วแพ้ 4 นัด ฤดูกาลก่อนแพ้ 2 นัด หรือ 8 นัดใน 53 เกม 3 ฤดูกาล
สิ่งสำคัญคือ หากเทียบกันด้วยขุมกำลังเต็มทีม ลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ ทีมที่เจอร์เก้น คลอปป์บอกว่าดีที่สุดในโลกห่างกันแค่ไหน
ฤดูกาลที่แล้วบิดเบี้ยว สำหรับการแพ้ที่แอนฟิลด์ เพราะไม่มีกองหลัง และฤดูกาลก่อนแพ้หลังจากลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกแล้วก็ตาม
เรื่องความสามารถ หากให้คะแนนแบบมวย ลิเวอร์พูลคงแพ้คะแนนแบบเป็นเอกฉันท์ แต่ถ้านับประตูได้ ก็ใกล้เคียง แมนฯ ซิตี้ดีกว่าก็จริง แต่ก็ไม่อาจเอาชนะลิเวอร์พูลได้
แต่ก็นั่นแหละเพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องเอาชนะ เลยปล่อยให้เกมจบแบบนี้ เสมอ แมนฯ ซิตี้ได้เปรียบนำ 1 แต้ม และโปรแกรมที่เหลือง่ายกว่า
หากริยาด มาห์เรซ ไม่เลือกที่จะชิปข้ามอลิซงในนาทีสุดท้าย บางทีช่องว่างของคะแนน อาจกลายเป็น 4 ไม่ใช่ 1
ถามว่า สถานการณ์แบบนี้เลวร้ายสำหรับลิเวอร์พูลหรือไม่
ไม่เลวร้ายกว่าก่อนเกมเริ่ม และไม่เลวร้ายที่สุด เพราะลิเวอร์พูลไม่แพ้ออกจากเอติฮัด
ดังที่คลอปป์บอกหลังเกม จะสู้กับแมนฯ ซิตี้ คุณก็ต้องสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยระบบลีก ทุกอย่างเป็นไปได้ใน 7 เกมต่อไปนี้ ถ้าซิตี้ไม่พลาด เราก็ทำได้แค่กลับมาเริ่มต้นใหม่
ส่วนการแข่งขันระหว่างซิตี้กับลิเวอร์พูล ยังดำเนินต่อไป
เอฟเอ คัพในสัปดาห์หน้าได้พิสูจน์กันอีก สนามกลาง ลิเวอร์พูลจะสลัดความตื่นเต้น ความเกร็งออกไปได้หรือไม่ !!!
ว่ากันโดยแท็คติก เป๊ปเลือกแกเบรียล เจซุสเป็นตัวจริงนัดแรกในลีกนับจากมกราคม วางแท็คติกแบบ 2 -4-3- 1
ราฮีม สเตอร์ลิงเป็นกองหน้าคนเดียว เดอ บรอยน์ โฟเด้นและเจซุส สร้างความปั่นป่วนให้แดนกลางลิเวอร์พูล
กานเซโล่ วอล์คเกอร์ ดันขึ้นมาช่วย เบอร์นาโด้และโรดรี้ รักษาเกมตรงกลาง สโตนส์และลา ปอร์ก รอเคลียร์อันตราย
ลิเวอร์พูลไม่อาจรักษารูปทรงเกมที่ถนัดได้ โดนกดดันจนบอลแทบจะเล่นในระยะ 35 หลาแดนของลิเวอร์พูลเป็นส่วนใหญ่
โฟเด้น ดึงมาติปไปช่วยเทรนต์ ฟาน ไดค์ โดดเดี่ยว ที่สำคัญเจซุสสร้างปัญหาให้แอนดี้ โรเบิร์ตสันมากมาย
ฟาบินโญ่รับมือเดอ บรอยน์ไม่ไหว !!!
เฮนเดอร์สันและติอาโก้ทำอะไรไม่ถนัดนัก มาเน่และซาลาห์ต้องพะวงกับแบ็ก 2 ข้างของซิตี้ที่ขยับเติมเกมรุก ที่สำคัญบอลไปไม่ถึงพวกเขาสักเท่าไร
จาก 4-3-3 ลิเวอร์พูลต้องปรับแท็คติกหลายครั้ง 4-1-4-1 หรือ 4-5-1 เพื่อรับมือซิตี้ นั่นหมายความว่าลิเวอร์พูลไม่อาจเล่นเกมของตัวเอได้
ขณะที่ซิตี้ทำได้ตามมาตรฐานของตัวเอง การครองบอล ความแม่นยำในการออกบอล มีโอกาสยิงมากกว่า ยิงเข้ากรอบมากกว่า และควรได้ประตูมากกว่า !
นักเตะคนเดียวของลิเวอร์พูลที่ผมว่าไม่มีอาการตื่นเต้น หรือผิดพลาดเลยคืออลิซง ช่วงแรกก่อนเสียประตู อลิซงเซฟสำคัญๆ โดยเฉพาะการออกมาบล็อกบอล ลูก 1-0 ก็สุดความสามารถเพราะบอลแฉลบมาติป 2-1 ก็ต้องชมเจซุส
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลทำได้ดี ตีเสมอได้ 2 ครั้ง !!!
นี่คือครั้งแรกในฤดูกาลที่ซิตี้นำแล้วเสียแต้ม 22 นัดก่อนหน้านี้พวกเขานำ สามารถเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด
ลิเวอร์พูลยังไม่ดีเท่าแมนฯ ซิตี้ แต่ก็รู้ว่า ลิเวอร์พูลไม่ยอมแพ้โดยไม่สู้อย่างแน่นอน
อย่างที่เป๊ปบอก เราต้องสู้ ต้องชนะ 7 เกมที่เหลือ ไม่อย่างนั้นก็จบสิ้นเช่นกัน
ลิเวอร์พูลก็ทำตามเป้าคือ กดดัน และแมนฯ ซิตี้ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้น ถึงคู่ควรกับการเป็นแชมป์ลีก
ตบมือสิครับ…ภูษิต