Thursday, February 13, 2025
More
    Homeข่าวทั่วไปเครือข่ายหยุดพนันยื่น4ข้อหนุนกฤษฎีกาแยกกาสิโนออกจากสถานบันเทิงครบวงจร

    เครือข่ายหยุดพนันยื่น4ข้อหนุนกฤษฎีกาแยกกาสิโนออกจากสถานบันเทิงครบวงจร

    เครือข่ายหยุดพนันบุกกฤษฎีกา  ยื่น 4 ข้อหนุนความเห็นกฤษฎีกาแยกกาสิโนออกจากสถานบันเทิงครบวงจร ชงควรอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน พร้อมขอเวลาให้ภาคีรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอทำประชามติกาสิโนก่อน ไม่ควรรีบทำตามใบสั่งการเมือง ต้องรอบคอบเพราะผลกระทบกว้างขวาง

    สาย​วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 หน้าอาคารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  ถนนพระอาทิตย์

    นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรงค์หยุดพนัน พร้อมด้วยตัวแทนมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายนักศึกษานิติศาสตร์ ละเครือชุมชนลดปัจจัยเสี่ยงกว่50 คน

    เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการ คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแสดงจุดยืนให้ฟังเสียงประชาชน มากกว่ารับคำสั่งฝ่ายการเมือง  โดยเครือข่ายได้แสดงละครล้อเลียน คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เปรียบเสมือนพ่อครัวอย่าแต่มุ่งทำอาหารประเคนฝ่ายการเมือง  โดยไม่ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนความต้องการของประชาชน  

    พร้อมชูป้าข้อความอาทิ กฤษฎีกาต้องอิสระไม่ถูกควบคุมสั่งการจากการเมือง  รัฐบาลต้องเป็นผู้ควบคุมไม่ใช่เปิดทางสร้างผีพนัน  กาสิโนต้องอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน เป็นต้น

    นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับดำเนินการตรวจและปรับปรุงร่างระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อพร้อมนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในลำดับถัดไป  

    โดยก่อนหน้านั้นเลขาธิการ คณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและภาคีเครือข่าย ใคร่ขอแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้

    1. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและเครือข่าย เห็นด้วยกับข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กิจการสถานบันเทิงครบวงจรกับกิจการสถานเล่นพนัน ควรแยกการพิจารณาออกจากกัน  เพราะกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่อีกกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาการพนัน  ด้วยแต่ละกิจการต่างมีกฎหมายเฉพาะที่ควบคุมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในเรื่องนั้นๆ เพิ่มขึ้น เพราะเป็นความซ้ำซ้อน และควรใช้มาตรการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  

    นายธนากรกล่าวอีกว่า  2. ารออกกฎหมายใหม่นี้  ดูมีเจตนาอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อำนาจออกใบอนุญาต และผู้ประกอบธุรกิจ ในลักษณะจอดจุดเดียวจบ หรือ one-stop service ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้มากเช่นนี้  และอาจขัดกับกฎหมายเดิมเมื่อถึงคราวปฏิบัติจริง  

    การออกกฎหมายใหม่เพื่อการนี้ เปรียบเสมือนการพยายาม “สวมเสื้อตัวใหญ่” ที่จะก่อให้เกิดความรุ่มร่าม จนสุดท้ายเป็นอุปสรรคต่อผู้ใช้งานเอง

    3. รัฐธรรมนูญแห่งราอาณาจักรไทย พ.ศ.2560มาตรา 77 บัญญัติว่า “รัฐพึงมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น” ในเมื่อสถานกาสิโนคือแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่  กิจการนี้ก็พึงอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว คือ พระราชบัญญัติการพนัน  เป็นการเข้าตามตรอกออกตามประตูที่พึงกระทำ มิใช่การใช้วิธีร้างทางลัดหรือทางลอดของตนเอง โดยใช้วิธีการออกกฎหมายพิเศษหรือกฎหมายเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทำในสิ่งที่ตนอยากทำได้  

    ที่สำคัญยิ่งคือ รัฐพึงเป็นผู้ควบคุมการพนัน ถือเป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาวะเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิต สุขภาพกายและจิต และความมั่นคงของมนุษย์ รัฐจึงไม่พึงอยู่ในฐานะผู้ส่งเสริมหรือสนับสนุนการเพิ่มแหล่งพนันด้วยนโยบายของรัฐบาลเอง

    เพราะรัฐเปรียบเสมือนอัศวินผู้ปราบยักษ์มาร  มิใช่ผู้เปิดประตูเมืองให้ยักษ์มารย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างามโดยการออกกฎหมายใหม่อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบธุรกิจการพนัน   และหากเอกชนรายใดต้องการประกอบกิจการจำพวกนี้ ก็พีงเสนอขออนุญาตตามช่องทางของกฎหมายที่มีอยู่

     มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และภาคีเครือข่ายขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกฤษฎีกายืนหยัดในความถูกต้อง โดยยึดมั่นว่า “ลูกค้าที่แท้จริงของท่านคือประชาชน” และดำรงความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง เพื่อดำรงศรัทธาและความเชื่อถือของอนุชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาสืบไป  

    และ 4. ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาสนับสนุนการขอใช้สิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดทำประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ   ขอให้รัฐบาลเคารพสิทธิของประชาชน และให้โอกาสเครือข่ายในการดำเนินการรวรวมรายชื่ออย่างน้อย 60 วัน โดยไม่เร่งรัดจะให้ออกกฎหมายนี้โดยเร็วตามความต้องการของฝ่ายการเมืองนายธนากรกล่าว

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments