“ป้ายหน้าควายๆ ครับ”
เสียงโชเฟอร์รถเมล์ตะโกนบอกผู้โดยสารด้วยถ้อยคำย่อย่อบอกให้รู้ว่าเป็นย่านสะพานควาย เขาจะตะโกนบอกเป็นระยะทุกป้าย ซึ่งปกติไม่ค่อยมีคนขับรถเมล์จะร้องตะโกนบอกผู้โดยสารในรถของตนเอง จะมีก็แต่กระเป๋ารถเมล์เท่านั้น
แต่โชเฟอร์หนุ่มใหญ่คนนี้ เขาคงมีความรู้สึกอยากทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบที่สุดในการขับรถเมล์แต่ละเที่ยว
หรืออาจทำไปเพื่อให้การทำงานของเขาสนุกสนานมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ไม่ต้องเคร่งเครียดกับสภาพการณ์รถติดวุ่นวายจอแจบนท้องถนนก็อาจเป็นไปได้ประการหนึ่ง
บางครั้งเขายังเผลอปล่อยอารมณ์สนุกเกินหน้าที่แซวคนรอรถเมล์บางคนที่เขาขับเลยป้ายไปโดยไม่ได้แวะหยุดดรับว่าไม่ออกมายืนยืดแขนโบกรถให้เห็นชัดเจนเลยช่วยไม่ได้ พอผ่านไปอีกป้ายรถมีคนโบกรถเต็มที่เขาก็พูดขึ้นว่า
“ต้องอย่างนี้ซี่ จะได้มองเห็น”
หรือบางครั้งมีหญิงที่สติสตังไม่ค่อยครบครันเดินอยู่ริมถนนในช่องด้านขวามือ เขาก็หลุดตะโกนแซวอย่างหน้าตาเฉย
“เป็นยังไงนางเอกเอ็มวีมาเดินโชว์ตัวเหรอจ๊ะ”
ทำเอาคนโดยสารบางคนอมยิ้มขันกับความเป็นคนอารมณ์ดีของโชเฟอร์คนนี้กัน พอช่วยให้คลายความเหนื่อยล้ากับการเดินทางประจำวันไปได้บ้างเล็กน้อย
ชีวิตประจำวันวันหนึ่งไม่มีอะไรพิเศษแปลกแตกต่างกันไปสักเท่าใดนักสำหรับข้าพเจ้าที่เดินทางด้วยรถเมล์อย่างนี้เช้าเย็นทุกวัน
เป็นเรื่องธรรมดาถ้าไม่คิดสังเกตอะไรก็เหมือนภาพจำเจภาพเดิมเดิม แต่หากต้้งใจคอยสังเกตกับภาพที่แล่นผ่านเข้ามาในดวงตาของเราก็จะเห็นความแตกต่างอย่างมากมายเล็กเล็กน้อยน้อยบ้างหรือต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็มากมาย
เห็นชีวิตรูปแบบของมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงข้าวเหนียวนึ่งหมูปิ้ง มีมากมายหลายอย่างแตกต่างกันไป บ้างเต็มไปด้วยความสมบูรณ์พร้อมพรักหอบหิ้วสัมภาระข้าวของติดตัวไปทำงานไปธุระปะปัง บางคนไม่มีอะไรติดตัวมากกว่ากระเป๋าสะพายใบเดียว
แต่ที่เหมือนกันคือการไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดใช้เวลาในการเดินทางให้น้อยที่สุดเท่านั้น
ข้าพเจ้านั่งคิดคำนึงไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตคือการต่อสู้ ใครกันนะเป็นคนแรกที่เริ่มใช้ประโยคนี้หรือไม่มีใครเลยนอกจากสถานการณ์เป็นตัวกำหนดให้ทุกคนเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะในปัจจุบันไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใด ผู้คนแม้มีจำนวนหนาแน่นหนาตากว่าสิบยี่สิบปีก่อน กลับไม่ได้มีเสียงอึกทึกครึกโครมพูดคุยส่งเสียงทักทายดังขรมเหมือนยุคเก่าก่อน
แม้นั่งยืนนิ่งหรือก้าวเท้าเดินดุ่ม แต่ละคนล้วนก้มหน้าดูจอโทรศัพท์มือถือกันเสียเป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นเมืองแห่งความเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้คนล้วนอยู่ในภวังค์อยู่ในสมาธิ โลกยุบรวมไปอยู่ในจอสี่เหลี่ยมเล็กเล็กเท่าฝ่ามือ
คนผู้ยากไร้ลำบากมีมากขึ้นทุกวัน เดินสวนทางไปมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง ผู้คนต้องดิ้นรนอย่างหนัก บนทางเท้าริมถนนรนแคม มีพ่อค้าแม่ค้านำข้าวของอาหารมาวางขายอย่างหนาตา ราคาย่อมเยาสำหรับคนระดับหาเช้ากินค่ำสัมผัสได้
สิบบาทยี่สิบบาท มีเกลื่อนกลาดในแหล่งคนพลุกพล่านสถานที่ต่อรถเดินทาง แต่ก็ไม่ได้ทำรายได้ให้มากมายเป็นล่ำเป็นสันนัก เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจมันบีบรัดให้ทุกคนต้องประหยัดกินประหยัดใช้ อะไรที่ไม่ใช่สิ่งของจำเป็นในชีวิตตัดทิ้งไปก่อน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้าขายอะไรก็ได้
เมื่อทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ชีวิตคือการต่อสู้ มันเป็นเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนชาวบ้านชาวช่องต้องกัดฟันต่อสู้กันต่อไป แม้จะมองไม่เห็นแสงสว่างในหนทางข้างหน้า ก็ต้องฝ่าฟันต่อไปให้ได้ไม่ว่าจะยากแค้นแสนเข็ญเพียงไหนก็ตาม ตราบเท่าที่ลมหายใจยังมีอยู่ สัญญาณชีพยังคงหลงเหลือ
แต่ทุกก้าวย่างจะต้องเต็มไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเดินไปบนหนทางใดโดยเฉพาะทางเท้าที่ข้าพเจ้าย่ำเดินอยู่ทุกวี่วัน
หากก้าวพลาดอาจทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นข้องหมองหม่นไปตลอดวัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอาจย่ำไปบนกองถ่ายมูลของสุนัขแถวนั้นได้ไม่ยากเลย
นี่แหละสิ่งที่ทำลายความสงบของสังคมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าลายคราม
ไม่อหังการท้าทายทุกย่างก้าวเมื่อผ่านมาแถวนี้.
31/8/2567