วันหนึ่งได้มีโอกาสไปพบ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ขณะนั่งวาดรูปภาพสีน้ำมันอยู่ที่ทุ่งดอกทานตะวัน
ผมเดินเข้าไปทักทายถามว่ากำลังสร้างงานศิลปะอยู่หรือ มีผู้ใดจับจองแล้วหรือยัง
เขานิ่งไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำหนึ่ง
ผมถามย้ำอีกด้วยเสียงเบาๆ เกรงจะรบกวนสมาธิระหว่างที่แวนโก๊ะทำงานของเขาอยู่ เขายังคงไม่แม้แต่จะเหลียวหันมามองหน้าหรืออยากรู้ว่าใครมาหา
ทุกวินาทีทุกลมหายใจเข้าออกของเขามอบให้กับภาพสีน้ำมันบนผืนผ้าใบที่วางตั้งบนขาตั้งของเฟรมผ้าใบนั้นไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีพลังอำนาจใดจะฉุดดึงให้เขาผละจากภาพนั้นได้เลยจริงๆ
ผมทราบมาก่อนแล้วว่าเขาเป็นศิลปินอิสระผู้หยิ่งทะนงอะไรเทือกนั้น จึงไม่รู้สึกหงุดหงิดใจ ขอเพียงแค่อดทนรอคอยก็พอ ถ้าโชคเข้าข้างเขาอาจจะหันมาทักทายคุยกันสักประโยคหรือเพียงคำสองคำ
ศิลปินโดยส่วนใหญ่มักมีบุคลิกลักษณะไม่แตกต่างจากเขาสักเท่าใดนัก ไม่ว่าเชื้อชาติภาษาไหน หรืออยู่มุมไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม เอาเพียงว่าอดทนรอไปเถอะอย่างที่กล่าวเท่านั้นเอง
ถึงตอนนี้เขาไม่สนใจ เหมือนผมเป็นอากาศที่ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว ไร้รูปไร้ร่าง
แต่ก็ยังคงยึดมั่นยืนยันความตั้งใจ อยากได้ผลงานของศิลปินที่โลกยกย่องผู้นี้มาครอบครองสักชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะรอคอยนานแค่ไหน ไม่มีทางโยนทิ้งความตั้งใจไปอย่างง่ายๆ หรอก
ผมเตร่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ ปล่อยให้ศิลปินนามอุโฆษง่วนอยู่ฝีแปรง พู่กัน ตวัดแต่งแต้มผ้าใบไปเรื่อยๆ เปลี่ยนคลายอิริยาบถเดินดูทิวทัศน์รอบๆทุ่งทานตะวัน สีเหลืองระยับพริ้วล้อเปลวแดดระยิบกลางสายลมละล่องเบาๆโชยกลิ่นดินดอกหญ้าระบัดในแนวทุ่งกว้างไกลสุดตา
มันหยิบยื่นความรู้สึกสดชื่นให้อย่างหาได้ยากยิ่งในเมืองใหญ่ ดำดิ่งความคิดลงสู่ห้วงลึกของแรงบันดาลใจสักอย่างทุกขณะจิตตกอยู่ในภวังค์ยากแสวงหาเห็นง่ายโดยพลัน
ในมโนจริตยังชื่นชมชอบชวนกับกลิ่นสีเส้นสายฝีแปรงปลายพู่กันมากกว่าภาพผลงานเหนือจริงของมวลปัญญาประดิษฐ์เอไอที่ปราศจากอารมณ์ถวิลซับซ้ อนซุกซนไม่เปิดปลดปล่อยช่องทางจินตนาการให้สร้างจินตนาภาพสุดแต่จิตสำนึกของผู้เสพย์อย่างถ่องแท้
การได้อยู่แนบชิดอิงแอบธรรมชาติอันดื่มด่ำล้ำลึกสดับสำเนียงเสียงดาริกาดารดาษนับล้านล้านล้านดวงกระซิบข้ามเวหาหาวเหมือนดั่งแวนโก๊ะรู้สึกสัมผัสในค่ำคืนดาวกระพริบพร่างพราว
เอไอคงสร้างงานล้ำเลิศเยี่ยงแวนโก๊ะไม่ได้เช่นกัน
เพราะเอไอไร้โสตประสาทสัมผัสรับรู้เท่าเทียมเผ่าพันธุ์มนุษย์จากบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน มนุษย์ยังคงส่งภาษาสื่อสารกับสรรพสัตว์ พฤกษชาติ ลำธาร โตรกผาไปจนสุดห้วงมหรรณพ ยันสายลมแสงตะวันได้เป็นเรื่องปกติแสนธรรมดา
หรือว่ามนุษย์เราจะมืดบอดใบ้หนวกไปเสียแล้วจากธรรมชาติในขณะที่โลกยังคงพูดคุยส่งเสียงสะท้อน เรากลับเงียบงันไร้สิ้นเสียงสดับรับฟังไปแล้วกระนั้น
“เอาไปเลย”
เสียงกระโชกตวาดก้องมาจากศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เขาเหวี่ยงเฟรมผ้าใบภาพเขียนผืนนั้น อันเกิดจากฝีมืองานศิลประดับเอกอุหรือไม่ก็เป็นฝีเท้าก็ไม่แน่นัก เนื่องจากภาพเขียนสีน้ำมันนั้นเปรอะไม่เป็นรูปร่างใดๆ
ไม่เคยยลผลงานแบบนี้มาก่อน แปรงพู่กันจานสีกระจัดประจานเกลื่อนไปทั่วบริเวณนั้น อุปกรณ์ต่างๆ เก้าอี้พับถูกกระแทกทิ้งกระจาย ผม
ก้มลงหยิบภาพจากพื้นขึ้นมาอย่างงงงวยไม่เชื่อสายตาตนเองว้านี่คือชิ้นงานศิลปของศิลปินชื่อก้องโลกที่หลายคนปรารถนาได้มาครอบครองสักชิ้นหนึ่งเป็นอย่างน้อย มันอยู่ในมือของผมแล้ว
แต่เพ่งดูเส้นสายสีสันบนผืนผ้าใบนั้นมันไม่เหมือนผลงานชิ้นอื่นที่ร่ำลือกันว่าสุดยอด แต่เหมือนภาพที่เกิดจากการเหวี่ยงซัดสาดสีตวัดปาดฟาดพู่กันย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่งานในแนวถนัดของเขาเลย ยกเว้นรอยเขียนนามวินเซนต์ที่บรรจงจารึกอย่างชัดเจนเท่านั้น
“ขอบคุณมากๆครับท่านแวนโก๊ะ”
ผมระล่ำระลักด้วยความยินดี พร้อมกันมีเสียงสับสนก้องในกมล
“เอาวะ รูปอะไรดูไม่ออกช่างมัน ถ้ามันเป็นงานของวินเซนต์ แวนโก๊ะ ก็ดีที่สุดแล้วล่ะ”
เสียงรถเบรกแล้วผู้โดยสารหลายคนดังกึงกังปลุกผมรีบลุจากภวังค์
“อ้าวถึงป้ายแล้วเหรอนี่”
รีบลุกจ้ำอ้าวลงจากรถเมล์ครีมแดงควันดำในบรรยากาศแผดร้อนของไอแดดยามสาย
มาเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีแต่เรื่องราวของสงครามพรมแดน ไข่เจียวปู กับนักบวชทุศีล นักกินบ้านโกงเมืองศาลอยุติธรรมกลาดเกลื่อนอย่างเป็นปกติธรรมดาไม่เปลี่ยนแปลง.
24/8/2568