บิ๊กดีเอสไอแจงสอบ”บอสพอล”
ความคืบหน้าล่าสุดในคดีบริษัท ดิ ไอ คอน กรุ๊ป เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 1 พ.ย. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคดีพิเศษที่ 115/2567 หรือคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ว่า
สำหรับประเด็นที่มีกระแสข่าวเมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เข้าไปสอบปากคำผู้ต้องขังชายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับเรื่องดิ ไอคอน กรุ๊ป นั้น ยืนยันว่าไม่มี แต่จะมีเพียงก่อนหน้านี้หลายวันแล้วที่ได้มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปสอบข้อเท็จจริงจากนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ซึ่งบอสพอลยืนยันว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีการให้ผลประโยชน์ใดต่อดีเอสไอ รวมถึงไม่ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเลย
รอข้อเท็จจริงพยานเท็จสายไหม
ส่วนกรณีที่นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ให้สัมภาษณ์ขอให้ดีเอสไอพิจารณาดำเนินคดีกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานที่นายเอกภพพามา กรณีที่นำพยานเท็จเข้ามาพบตำรวจและอ้างว่าดีเอสไอเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เรียกรับเงินจาก บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบว่าเป็นเรื่องเท็จและเกิดความเสียหายจะพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
รวมถึงประเด็นที่ประชุมคณะกรรมาธิการ การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกมธ. และประเด็นของนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรค พปชร. ที่ตั้งข้อสงสัยนั้น ถือเป็นประเด็นเดียวกัน ดีเอสไอยืนยันว่าหากตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริงก็ต้องดำเนินคดี
รวบรวมเส้นเงินถึงแม่นายส.
พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องมีการพบข้อมูลว่ามีการโอนเงินจากบัญชีของบอสพอล ไปให้แม่ของนักการเมือง ส. 2.5 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการ และรวบรวมพยานหลักฐาน มิใช่มีการกล่าวอ้างพาดพิงบุคคลใด แล้วจะต้องไปดำเนินคดีบุคคลนั้นทันที ต้องมีกระบวนการ ระยะเวลาไปรวบรวมหลักฐานก่อน
บลัฟกลับรับมือ2พันพยาน
ส่วนกรณีที่นายวิฑูรย์ จะพาพยานกว่า 2,000 รายมาเข้าให้ปากคำกับดีเอสไอ อีกทั้งจะสอบถามศักยภาพเจ้าหน้าที่ว่าในแต่ละวันจะสามารถสอบปากคำพยานได้กี่รายนั้น พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวว่า มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เตรียมรับเรื่องและให้ข้อมูล อีกทั้งต้องดูก่อนว่าทั้ง 2,000 รายนี้มีความประสงค์เป็นพยานจริงหรือไม่ เป็นใครบ้าง และคนเหล่านี้จะให้การในประเด็นใดบ้าง เพื่อพิสูจน์ความจริงในประเด็นอะไร
ทั้งนี้ ในขั้นตอนของการนำหนังสือเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนชุดเดิมมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอ รวมถึงการส่งหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้มีอัยการมาเป็นที่ปรึกษาในคดีนั้น ทุกอย่างอยู่ระหว่างดำเนินการ
จ่อแจ้งข้อหาเพิ่ม18บอส
ต่อมาเวลา 15.00 น. พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยอีกครั้งว่า วันนี้คณะพนักงานสอบสวนได้ประชุมหารือในเรื่องของการเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับกลุ่มผู้ต้องหาบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด 18 ราย ในความผิดฐาน พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และรอเสนอความเห็นต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ เพราะเป็นผู้วิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ เช่น ประเด็นผลประโยชน์ตอบแทนหรือวงจรธุรกิจ
ส่วนการออกหมายจับผู้กระทำความผิดล็อตที่ 2 นั้น ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนมุ่งเน้นไปในเรื่องของการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหากลุ่มแรกก่อน ยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้ว่าจะออกหมายจับผู้กระทำความผิดเพิ่มเติมกี่ราย
ร่อนหนังสือโต้ข่าวรับสินบน
วันเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ แจกเอกสารชี้แจงตามที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน และนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้นำบุคคลเป็นแหล่งข่าว เข้าพบอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.กรณีที่ให้ข่าวต่อสื่อสาธารณะเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ว่ามีข้อมูลจ่ายสิน บนเจ้าหน้าที่มีเนื้อหาว่า น่าจะเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานรัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องรวมทั้งของกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วยนั้น
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวได้เปิดเผยว่า พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีคำสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. ขณะนี้คืบหน้าไปมากโดยได้สอบปาก คำนายเอกภพและพยานที่นำมา และนายวรัตน์พล หรือบอสพอลแล้วประกอบกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางก็ได้สอบสวนกรณีดังกล่าวด้วย หากพบว่ามีมูลตามที่ร้องเรียนจะดำเนินการตามกฎหมาย ขณะเดียวกันหากไม่มีมูลความจริง จะมีความเห็นเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ให้ข่าวแน่นอน
รอเอกสารเส้นเงินผู้เกี่ยวข้อง
มีรายงานจากแหล่งข่าวในคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด อยู่ระหว่างรอเอกสารรายงานเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบรรดา 18 ผู้ต้องหาจากทางธนาคาร หากดีเอสไอได้รับรายงานธุรกรรมดังกล่าวจะนำมาตรวจสอบว่าใครทำธุรกรรมอย่างไรกันบ้าง เช่น บุคคลใดโอนเงินให้บุคคลใด มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร
ส่วนประเด็นเรื่องเส้นทางการเงิน 2.5 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ไปยังบัญชีธนาคารของมารดานักการเมืองท่านหนึ่ง ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเช่นเดียวกัน เนื่องจากต้องตรวจสอบที่มาที่ไปเนื่องจากคดีการฟอกเงินทางอาญา จำเป็นที่จะต้องดูเส้นทางเงินขาเข้าและขาออกถึงจะโยงกันได้ อย่างไรก็ตาม แม้พูดกันตามปกติว่าโอนไปไหนอย่างไร แต่กระบวนการสอบสวนเพื่อให้มีการดำเนินคดีจะต้องมีขาเข้าและขาออกที่ชัดเจนถึงจะเชื่อมโยงกันได้
ถ้าอ้างทำบุญต้องมีหลักฐาน
แหล่งข่าวดีเอสไอระบุอีกว่า หากมีการชี้แจงว่าเงิน 2.5 ล้านบาทดังกล่าวคือเงินโอนทำบุญระหว่างกัน ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องนำใบอนุโมทนามาใช้ยืนยันการทำธุรกรรมกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าใช่ เพราะต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ว่าเงินที่นำออกไปนำไปใช้ทำอะไร อย่างไร ที่ไหน และเพื่อวัตถุประสงค์ใด แม้จะให้การอย่างไรก็สามารถให้การได้ แต่จะอยู่ที่คณะพนักงานสอบสวนที่จะต้องพิจารณาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ หากเชื่อก็ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมสุจริต แต่ถ้าไม่เชื่อก็จะต้องพิจารณาดำเนินคดีตามขั้นตอน
ไม่อิงเส้นเงินโซเชียล
สำหรับรายงานข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารจะถือเป็นจำนวนเงินที่มันมีความถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ จะไม่ใช้เส้นเงินที่เกิดจากสื่อในโซเชียลมีเดีย เพราะมันใช้งานจริงไม่ได้ และในการสอบสวน เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานต้นทางจากธนาคารเท่านั้น คาดว่าประมาณ 2 สัปดาห์จะทราบความคืบหน้า
ไล่ย้อนหลังช่วงปี61-63
ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยังเปิดเผยอีกว่า สำหรับห้วงเวลาที่ดีเอสไอ จะตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินของบรรดา 18 บอสนั้น เบื้องต้นจะไล่ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561-2563 แต่ต้องยอมรับอุปสรรคปัญหาเล็กน้อยว่าในปีดังกล่าวนี้อาจไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา แต่ถึงอย่างไรทางธนาคารคงจะเร่งรัดดำเนินการให้ดีเอสไออย่างแน่นอน อีกทั้งดีเอสไอไดขอเส้นทางการเงินย้อนหลังไปตั้งแต่มีการเปิดบริษัทฯ อีกด้วย
ทั้งนี้ ในการชี้แจงการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ หากผู้ต้องหายังอยู่ระหว่างการคุมขังภายในเรือนจำ ดีเอสไอก็จะต้องเข้าไปสอบสวน ไม่เฉพาะบรรดาบอสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลอื่นๆ รอบข้างที่รับโอนเงิน รับทรัพย์สินจากกลุ่มดิไอคอน ต้องตรวจสอบทุกคน ดังนั้นในห้วงเวลานี้ จึงยังไม่ได้มีการออกหมายเรียกให้ใครมาชี้แจงข้อมูล
ใช้เป็นหลักฐานมัด”ฟอกเงิน”
หากดีเอสไอได้รับข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารและตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถใช้ในการสอบปากคำได้ว่า “เงินจำนวนนี้คือเงินอะไร” “คุณได้เงินจำนวนนี้มาได้อย่างไร“ ”คุณมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร“ เป็นต้น เพื่อใช้พิจารณาต่อว่าส่วนนี้จะเป็นการฟอกเงินทางอาญาหรือไม่ ดีเอสไอจึงมีความจำเป็นต้องไล่หลักฐานตรงนี้ ยืนยันว่าการดำเนินการนี้คือเรื่องเร่งด่วนที่ดีเอสไอและธนาคารเข้าใจตรงกัน