
“บชก.เปิดปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลีใต้ หนีตายจากประเทศเพื่อนบ้าน มาเช่าคอนโด-เปิดสำนักงานหลอกเพื่อนร่วมชาติ เสียหายกว่า500ล้านบาท”
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 8 ธ.ค.68 ที่ ห้องแถลงข่าวชั้น 2 กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.)
พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. พล.ต.ต.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ ผบก.ปอท. พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท. Mr.kim doodung เจ้าหน้าที่แผนกกงสุลตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย
ร่วมกันแถลงจับกุมผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้ 14 ราย และชาวจีน 3 ราย แจ้งข้อหา “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”
พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เปิดเผยว่าประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีใต้ มีแนวทางร่วมกันทำงานสืบสวนและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ
จนพบเบาะแสกลุ่มคนร้ายขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ชาวเกาหลีใต้ ที่หลบหนีมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามายังประเทศไทย โดยพบเบาะแสหลบซ่อนตัวอยู่ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ตนจึงสั่งการให้ตำรวจ บก.ปอท.นำกำลังเข้าตรวจสอบ
ด้าน พล.ต.ต.ชนันนัทธ์ กล่าวว่า จากการตรวจค้นพบผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้ 4 คน พบว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ลักษณะหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่ ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศกัมพูชาแอบอ้างเป็นบริษัทรีสอร์ตชื่อดังของประเทศมาเลเซีย “Genting Malaysia”
หลอกลวงให้เหยื่อสัญชาติเดียวกันหลงเชื่อและร่วมลงทุน อ้างผลตอบแทนสูง มีผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก รวมความเสียหายทั้งสิ้น 20,160,531,817 วอนเกาหลี (KRW) หรือประมาณ 500 ล้านบาท เริ่มก่อเหตุตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 ถึงเดือนพฤษภาคม 2025 และหลบหนีการจับกุมมาโดยตลอด
ขณะที่ พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวว่าเบื้องต้นตรวจสอบพบผู้ต้องหาทั้งหมดมีหมายจับของตำรวจสากล ก่อนสืบสวนขยายผลจนพบผู้ร่วมขบวนการที่หลบหนีมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมาเช่าคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 3 และคอนโดฯ ย่านลุมพินี เพื่อใช้เป็นที่ซ่อนตัว และเปิดเป็นสำนักงานใช้หลอกลวงเพื่อนร่วมชาติขอหมายค้นต่อศาลแขวงพระนครใต้ เข้าตรวจค้นคอนโดมิเนียมทั้ง 2 แห่งดังกล่าว
พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้นพบภายในห้องพักถูกดัดแปลงแบ่งซอยเป็นห้องขนาดเล็กประมาณ 20 ห้อง แต่ละห้องมีโทรศัพท์, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเปิดหน้าจอค้างอยู่ มีข้อความบทสคริปต์วางอยู่ที่โต๊ะ สำหรับพูดหรือพิมพ์เพื่อใช้ในการหลอกลวงทางออนไลน์
รายชื่อเหยื่อชาวเกาหลีใต้ พร้อมหมายเลขโทรศัพท์, เอกสารปลอมแอบอ้างเป็นหนังสือทางราชการของอัยการประเทศเกาหลีใต้ และบัตรประจำตัวปลอมของอัยการของเกาหลีใต้
บทสคริปต์ใช้เป็นต้นแบบสำหรับหลอกลวงเหยื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนโทรศัพท์ที่ใช้ พบว่าเป็นการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับเหยื่อในประเทศเกาหลีใต้ ใช้วิธีการปลอมเป็นอัยการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐของเกาหลีใต้ โทรข่มขู่เหยื่อว่ามีคดี และหลอกให้โอนเงินมาให้กลุ่มคนร้าย รงมทั้งยังมัการให้แก้ผ้าอ้างว่าเป็นการตรวจค้นผ่านวิดีโอคอลด้วย
พ.ต.อ.ภานุภัท กล่าวอีกว่า นอกจากนี้คนร้ายยังใช้วิธีปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารของประเทศเกาหลีใต้ หลอกให้กู้เงิน และให้โอนเงินค่าดำเนินการ
จากการตรวจค้นคอนโดฯที่ย่านพระราม 3 จับกุมผู้ต้องหาได้อีก 10 ราย แยกเป็นชาวเกาหลีใต้ 8 ราย และชาวจีน 2 ราย ส่วนคอนโดฯ ย่านลุมพินี จับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย เป็นชาวเกาหลีใต้ 2 ราย และชาวจีน 1 ราย
ทั้งหมดรับสารภาพว่าเข้ามาทำงานภายในประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งสน.บางโพงพาง และ สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ กล่าวอีกว่าจากพฤติการณ์ทั้งหมด เชื่อว่ากลุ่มผู้ต้องหาร่วมกันหลอกลวงเหยื่อชาวเกาหลีใต้ให้หลงเชื่อและโอนเงินให้คนร้าย โดยจัดเตรียมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ VoIP กว่า 50 เครื่อง, โทรศัพท์ 35 เครื่อง, บทสคริปต์หลอกลวงและบัตรประจำตัวอัยการประเทศเกาหลี (บัตรปลอม) และเอกสารหลายอื่นๆ อีกหลายสิบรายการ แต่ไม่พบว่าเคยหลอกลวงผู้เสียหายชาวไทย
หลังจากนี้จะประสานสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนผู้ต้องหาท้้งหมด หลังจากถูกดำเนินคดีในประเทศไทยแล้ว จะส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่เกาหลีใต้ต่อไป


























