Saturday, November 23, 2024
More
    Homeท่องปทุมวันผู้กองติว สวมเครื่องแบบต่อจากพี่ “ผู้หมวดตี้”

    ผู้กองติว สวมเครื่องแบบต่อจากพี่ “ผู้หมวดตี้”

    ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สร้างความสูญเสียไม่น้อยโดยเฉพาะชีวิตเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารประชาชน

    ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือที่รู้จักกันในชื่อหมวดตี้ วีรบุรุษหนุ่มน้อยพลร่มนเรศวร ผบ.หมวด รพศ.2 กองกำกับการ1 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ(ค่ายนเรศวร)

    ก็เป็น 1ในผู้เสียชีวิต ถูกผู้ก่อความไม่สงบลอบยิงเสียชีวิต ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.51

    วันสุดท้ายในชีวิต คือวันคล้ายเกิดในวัย24 ปีของเขา และเป็นวันคล้ายวันเกิดของ พิมพ์ลักษณ์ บุญลือ แม่ของเขาด้วย

    เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสะเทือนใจ ของคนเป็นแม่ ที่เสียลูกชายคนโต เหลือลูกชายอีกคน ก็ตัดสินใจสวมเครื่องแบบตำรวจอีก

    วันนี้เรามารู้จักกับ ผู้กองติว ร.ต.อ.พัทธรงค์ บุญลือ น้องชายแท้ๆของหมวดตี้ ถึงการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของเขา
    “ผมเกิดวันที่ 19 ม.ค.2533 คุณแม่คลอดที่ รพ.อยุธยา ตอนนั้นพี่ชายอายุ 6 ขวบ ห่างกัน 6 ปีพอดี มีกันสองพี่น้อง 

    ตอนผมเกิดที่รพ.อยุธยา พี่ผมจะหวังดีมาก  เขาซื้อมันแกวจะให้น้องกิน แต่เขาไม่รู้ว่าน้องเพิ่งคลอด ฟันยังไม่มี  พยาบาลเลยอิ่มกันทั่ว เพราะเขาซื้อมาเต็มกระเป๋าเลย….”

    ผู้กองติวฟื้นความผูกพันกับพี่ชายเมื่อครั้งหลัง

    ก็เรียนกับพี่ ตอนแรกเรียนที่อยุธยา เรียนโรงเรียนวัดอินทร์ แล้วก็โรงเรียนวัดธรรมิกราช เรียนด้วยกัน จนพี่ไปเรียนที่จุฬาภรณ์ฯ ที่ลพบุรี ผมก็เรียนที่อยุธยา อยู่กับแม่

    แล้วพี่เขาสอบเข้าเตรียมทหารได้ ก็คุยกับพี่เขาตลอด พี่เขาชอบโทร.หาผม มีอะไรจะชอบบอกผม คือเขาจะไม่ค่อยบอกพ่อกับแม่เท่าไหร่ เขากลัวพ่อกับแม่เป็นห่วง
    ตอนที่พี่ไปอยู่ใต้ ผมอยู่ประมาณ ม.5-6 เขาโทร.บอกผมตลอด ว่าอยู่ที่ไหน แต่ขอนะ อย่าไปบอกพ่อ บอกแม่ ปีหนึ่งผมไม่ได้บอกพ่อแม่เลยตอนนั้น

    ผมก็ไม่ได้คิดอะไรว่ามันจะมีอะไร เขาบอกว่าเขาไปยะลา แต่เขาบอกว่า ถ้าพ่อแม่ถาม ให้บอกว่าไปอยู่เมืองกาญจน์ กลัวพ่อแม่เป็นห่วง เราก็ไม่อยากขัดใจ เลยทำตามพี่บอก ตอนหลังก็เริ่มอ่านไดอารี่ของพี่มาตลอด
                   
    จนเข้ามหาวิทยาลัย ผมได้โควตาของราชมงคลธัญบุรี ก็เข้าไปเรียนที่นั่น ก็ได้ข่าวจากไดอารี่ ก็นั่งอ่านไดอารี่พี่เขา วันเกิดพอดี

    เริ่มมาสะดุดบางคอมเมนต์  ขอให้หมวดตี้ปลอดภัย ขอให้อะไรอย่างนี้ สักพักหนึ่งก็มาสะดุ้ง  อ่านเจอคอมเมนต์ บอกว่าตอนนี้หมวดตี้ เสียแล้วนะ โดนซุ่มยิง เสียแล้ว

    มันเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกกับความสูญเสียคนใกล้ตัว มันเป็นอารมณ์แบบว่า เฮ้ย มันจริงรึเปล่าวะ นี่พี่เราตายจริงๆเหรอ  เราเป็นลูกคนเดียวแล้วเหรอ แล้วเราจะดูแลพ่อกับแม่ยังไง

    ตอนนั้นเพิ่งขึ้นปี 1 เรียนที่ราชมงคลธัญบุรี เรียนศึกษาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ศึกษา หลังจากนั้นก็เรียนต่อมาจนจบครูมา 5 ปี ก็เรียนที่ราชมงคลเลยครับ

    คือเรียนจบมีวุฒิครู มีใบประกอบวิชาชีพ พอจบมาที่นี้ก็สองจิตสองใจที่บ้านก็เป็นครูกันหมด จริงๆ ตัวเองก็อยากเป็นครู

    แต่พี่ๆ เขาก็ชวนมาเป็นตำรวจดีกว่า คือพวกเพื่อนๆ พี่ตี้ แล้วก็ผู้บังคับบัญชา เขาก็ไม่ได้ทอดทิ้ง ยังติดต่อมาตลอดมาชวนว่ามาเป็นตำรวจดีกว่า มาอยู่ ตชด.กับพี่

    ผมเลยคิดว่าไป แล้วก็เลือกลง ตชด. ตอนนั้นคิดว่า อยากดูว่าพี่เราไปทำงานยังไง บางครั้งการได้ยิน ไม่เท่ากับการได้ไปสัมผัส และอยู่กับคนที่เรารู้จักเขา
    ก็ไปสัมผัสกับพี่น้องเขา เพื่อนเขา สตช.ให้โควตามา แต่จริงๆ เมื่อก่อนมันจะไม่ได้สำหรับพี่น้อง มันจะได้แค่ทายาท คือลูกอย่างเดียว

    แต่ทีนี้คือได้เข้า ก.ตร. ขอให้เป็นกรณีพิเศษ แล้วก็ไปสอบวัดความรู้  บรรจุในตำแหน่งประมวลผล เทคนิคประมวลผล บรรจุที่แรกเป็น รอง สว.อำนวยการ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1
                   
    ก็อยู่ที่ปทุมธานี กองบังคับการ ผมทำงานด้านงานยุทธศาสตร เป็นงานเกี่ยวกับการวางแผน การออกแผน การกำหนดแผนต่างๆ

    อยู่ที่นั่นมา 4 ปี ครบวาระ แล้วคุณแม่จะเกษียณ  เลยขอย้ายกลับมาที่ใกล้บ้าน ที่ จ.อ่างทอง เพราะบ้านอยู่ใกล้ จ.อ่างทอง
    มาอยู่งานอำนวยการเหมือนเดิมเพราะว่าเราก็ต้องการมีเวลาให้ที่บ้าน  อีกอย่างคือคุณแม่ไม่อยากให้ไปทำอะไรที่มีความเสี่ยงอีก 

    แม่บอกว่า ถ้าไม่เป็นตำแหน่งอำนวยการ เป็นตำแหน่งไปอยู่ฐาน อยู่อะไรอย่างนี้ เขาก็คงไม่ให้ไป ไม่เอาเลย

    แต่ใจก็ชอบช่วยเหลือคนถูกรังแก ผมไม่ชอบเห็นคนโดนรังแก ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบใคร ผมเห็นชาวบ้านอย่างนี้ ก็อยากช่วย
                   
    ถ้าไม่ได้เป็น ตชด.ผมก็ชอบงานสืบ จริงๆ ผมชอบงานพวกปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพราะว่าผมก็เรียนมาโดยตรงทางนี้ ถ้าเป็น ปอท.ก็จะชอบมากเลย

    มีพี่ๆ มาชวนกันไปเยอะ แต่มันไกลบ้าน  สำคัญสุดก็ต้องเป็นครอบครัวครับ เพราะแม่ก็อยู่ที่นี่ คุณพ่อก็อยู่ลพบุรี เพราะปู่กับย่า ก็เริ่มแก่มากแล้ว อยู่ที่อยุธยา
    จริงๆ แล้วก็อยากลง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยนะ เพราะผมรู้มาว่า ตชด.ที่นั่น เขาอยู่กับลำบาก เขาแบบอยู่ด้วยใจ เราไปอยู่ ตชด.เราได้รู้จักกับคนที่รู้จักกับพี่อีกที คนที่เคยร่วมงานคนที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้นจริงๆ

    คือเขาค่อนข้างจะอยู่ ลำบาก  อยู่กันด้วยใจจริงๆ คือตรงๆ คือ ผมก็อยู่มาหลายที่เราก็เห็นว่า ตชด.นี่เขาทำงานด้วยใจจริงๆ เมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจ แต่พอเราได้สัมผัส ได้รู้ ก็เข้าใจ
                  
    เคยมีความคิดอยากจะไปอยู่ฐานเดียวกับพี่ถึงไม่ได้ไปทำงาน ยังอยากจะแวะไปที่ฐานนั้น  แต่ไม่เคยไป ก็อยากไปนะ

    อย่างปีที่แล้วก็ส่งเงินให้กับที่ฐาน เพราะเขาส่งรูปมาให้ดู ว่าฐานเป็นยังไง ฐานบุญลือ  เขาตั้งชื่อให้ คราวที่แล้ว ก็ซ่อมหลังคาให้เขา ติดพัดลมให้เขาอยู่ 

    ก็มีกองทุนหมวดตี้  แต่บางส่วนผมก็เอามาจากในเพจ ทำเสื้อพี่ขายบ้าง ก็ได้เงินมา ก็ส่งไปให้เขา ชื่อกองทุนหมวดตี้ คุณแม่เขารับผิดชอบ ดูแลกองทุน รับบริจาคเงินให้กับตำรวจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมก็ประสานกับทางฐานเขาเลยโดยตรง
    ใครที่คิดถึงหมวดตี้ ก็ติดต่อผ่านทางเพจก็ได้ เพจเฟซบุ๊กหมวดตี้ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ ใช้ยศนั้นเลย

    สำหรับในเรื่องการประคับประคองจิตใจแม่  มันพูดยาก ที่ว่าทุกปีจะอยู่ใกล้วันเกิดแม่ จะคิดถึงตลอด เหมือนว่าวันเกิดแม่ วันที่ควรจะเป็นวันที่สดใส

    แต่เป็นวันที่มันมีเรื่องเศร้าคลุมเครือเข้ามา แต่ทุกวันนี้ก็แก้ด้วยการทำบุญ คือคุณแม่เป็นคนที่ชอบทำบุญ
                   
    แล้วทุกวันเกิดทุกปี คุณแม่จะทำบุญ คือจะทำบุญในฐานะวันเกิดตัวเองด้วย ทำบุญให้ลูกด้วยเลย ก็จะอาศัยการที่ว่าเขาชอบทำบุญ แล้วก็ยังมีเพื่อนๆ เขา หรือพี่น้อง ก็มาทุกปี

    มันเศร้า เพราะหัวอกคนเป็นแม่ แล้วมันเป็นวันสำคัญแทนที่จะแบบมีความสุข ทั้งชีวิตวันนั้นก็จะเป็นวันที่โศกเศร้าไปเลย

    ตอนแรกๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็กลับบ้านมาประจำเลย  กลับบ้านมาอยู่กับเขาบ่อยๆ  พยายามทำตัวไม่ให้เขาเป็นห่วงด้วย

    ส่วนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมอยากให้มันสงบนะ มันจะได้จบๆ เพราะว่ามันไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่สูญเสีย มันมีคนอีกมากมาย

    แล้วเราหัวอกคนสูญเสีย มันก็ไม่อยากให้ใครมารู้สึกแบบเรา ไม่อยากให้มีแบบลูกที่ต้องเสียพ่อ เสียแม่ มีน้องที่เสียพี่น้องไป แบบนี้
                   
    ถึงตอนนี้ก็ซึมซับการเป็นตำรวจ  จริงๆ ผมว่า ตำรวจเป็นอาชีพที่น่าสงสารนะ เพราะทำงานก็ค่อนข้างเยอะ งานรับผิดชอบเยอะ กำลังพลน้อย แต่งานเยอะ

    เปรียบเทียบกับตอนที่ยังไม่เป็นตำรวจ เคยคิดว่าเป็นตำรวจน่าจะเท่ห์ สาวกรี๊ด แล้วก็เหมือนแบบพี่ชาย มีแฟนคลับเยอะ ถ้าอยู่ในยุคนี้ผมว่าเป็นเน็ตไอดอลเลย เป็นไอดอลของผมด้วย
                   
    ทุกวันนี้ เวลาผมทำงาน ผมนึกถึงพี่ตลอด ว่าพี่เราทำอะไรไว้นะ พี่เราเป็นใคร เราทำอะไร อย่าให้เสียชื่อเขา  ได้เจอเพื่อนเขา จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นคนที่นิสัยดี น่ารักมาก  

    พี่ผมเนี่ย เป็นที่แบบ ทำอะไรแล้ว คือเขามีรัชกาลที่ 9 เป็นไอดอลเขาเลย เวลาเขาไปทำงานเขาจะนึกถึงรัชกาลที่ 9  สมเด็จพระราชินี ในรัชกาลที่ 9

    ขาจะเก็บถุงยังชีพไว้ตลอด พวกถุงพระราชทานพวกนี้ ยังเก็บไว้ในตู้ เขาเก็บไว้ เหมือนว่าเขารักมากเลย
    มันเป็นเรื่องบังเอิญ ว่า พอผมเป็นตำรวจ ผมก็ได้ทำงานทางด้านนี้ด้วย ตอนนี้ผมเป็นรอง สว.จิตอาสา คือรับผิดชอบงานจิตอาสาของจังหวัดอ่างทองเลย

    คือคอยดูกิจกรรม คอยดูที่ไหนมีปัญหาอะไร ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เหมือนกับว่าเราได้ทำงานในส่วนนี้ต่อจากพี่ด้วยสืบทอดมา

    กากีกลาย 13/7/62


     

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments