6 ชาติเห็นพ้องปราบ”สแกมเมอร์“ “บิ๊กก้อง” ชู 3 มาตรการเร่งด่วน แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ จัดทำฐานข้อมูล“บช.ม้า- เบอร์โทร์-IP ใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกประเทศสามารถ “บล็อก–อายัด–ตรวจสอบ” พร้อมแต่งตั้งผู้ประสานงานไซเบอร์ประจำการในประเทศที่เป็นฐาน งัดกฏเหล็กคุมเข้มลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบยืนยันตัวตน
ยันไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง-ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ให้คำมั่นไม่ยอมให้สแกมเซ็นเตอร์มีที่ยืน ทุกเบาะแสที่ได้รับจะถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด พร้อมเป็นศูนย์กลางประสานงาน แสดงความจริงใจในการปราบปราม-บทบาทผู้นำในภูมิภาค ขณะที่ชาติภาคี ขานรับแนวทางปราบวางกลไก 21 ข้อรับมือปราบ “สแกมเมอร์”
6ชาติร่วมหารือที่คุนหมิง
วันที่ 15 พ.ย.68 มีรายงานว่า วานนี้(14 พ.ย.) ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีการประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ ระหว่าง 6 ประเทศ ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม
ที่ประชุมได้หารือสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติและโทรคมนาคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคม และสิทธิประโยชน์ของประชาชนทุกประเทศอย่างร้ายแรง และได้บรรลุฉันทามติร่วมในการยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผบ.ตร.,พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ รองผบช.สพฐ, พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รองผบก.ป. ,พ.ต.อ. เจษฎา บุรินทร์สุชาติ กงสุล (ฝ่ายตำรวจ) ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง,พ.ต.ท.หญิง วชิรา ธาวนพงษ์ สารวัตร (สอบสวน) บก.ปทส.และร.ต.อ.หญิง ตรีธารทิพ คำขจร รองสารวัตร ฝ่ายพิธีการ กองการต่างประเทศ
“บิ๊กก้อง”ชี้เป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดน
ในที่ประชุม พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวถ้อยแถลงในนามฝ่ายไทย ชี้ให้เห็นว่า ปัญหา “สแกมเซ็นเตอร์” ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมิใช่เพียงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่เป็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามพรมแดน” ที่ทำร้ายประชาชนทุกประเทศ
พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเป็นทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเอง จะดำเนินการอย่างจริงจังและรวดเร็ว โดยให้ทุกประเทศสามารถติดตามตรวจสอบได้ และประเทศไทยคาดหวังว่าทุกประเทศจะปฏิบัติต่างตอบแทนเช่นเดียวกัน
เส้นเงินม้าถูกโอนไปนอกประเทศ
นอกจากนี้พล.ต.ท.จิรภพ ยังนำเสนอผลการสืบสวนเชิงลึกของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (Anti-Cyber Scam Center: ACSC) ซึ่งบูรณาการข้อมูลจากธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และหน่วยข่าวกรองทางเทคนิค พบว่า เส้นทางการเงินจากบัญชีม้า (Mule Accounts) ส่วนใหญ่ถูกโอนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน,ที่อยู่ IP และสัญญาณเทคนิคจำนวนมากชี้ไปยังพื้นที่นอกประเทศไทย
ที่ตั้งสแกมอยู่ชายแดนบางประเทศ
นอกจากนี้ยังได้เสนอ “ข้อเท็จจริงเชิงเทคนิค” ว่า ศูนย์สแกมจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและเขตเศรษฐกิจของบางประเทศในภูมิภาค และไทยได้ส่งมอบข้อมูลดังกล่าวให้ประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการแล้ว ย้ำว่าไทยต้องการความร่วมมือแบบตรงไปตรงมาและเป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย
เสนอ3มาตรการเร่งด่วน
พร้อมกันนี้พล.ต.ท.จิรภพ ได้เสนอ3มาตรการเร่งด่วนระดับภูมิภาคที่เป็นรูปธรรม ประกอบไปด้วย
1: ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล Real-timeจัดทำฐานข้อมูลกลางของบัญชีม้า หมายเลขโทรศัพท์ และ IP ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และใช้ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกประเทศสามารถ “บล็อก–อายัด–ตรวจสอบ” ได้พร้อมกัน,
2: แต่งตั้งผู้ประสานงานไซเบอร์ประจำการ (Cyber Liaison Officer)ให้แต่ละประเทศส่งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายไปประจำการในประเทศที่เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ ทำหน้าที่เป็น “สายตรง” เพื่อให้การขอข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมเกิดขึ้น “ภายในวันเดียว”
และ 3:กำหนดมาตรการร่วมควบคุมโทรคมนาคม
เข้มงวดการลงทะเบียนซิมการ์ดด้วยระบบยืนยันตัวตน (รวมถึง Face Recognition) จำกัดจำนวนซิมต่อบุคคล ติดตามซิมต้องสงสัย และหากพบพื้นที่มีการใช้สัญญาณเพื่อหลอกลวงในวงกว้าง ให้ร่วมกันพิจารณาการ “ตัดสัญญาณชั่วคราว” จนกว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จ
พร้อมยกตัวอย่างว่า มาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและกัมพูชา ซึ่งได้ลงนามร่วมกัน ในการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อปราบปรามไซเบอร์สแกมโดยเฉพาะ และไทยดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ทั้งการตัดสัญญาณโทรศัพท์ต้องสงสัย การอายัดบัญชีธนาคาร การติดตามเส้นทางการเงิน และการช่วยเหลือเหยื่อ
ยืนยันความพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกับประเทศที่ร่วมมืออย่างจริงจัง โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในหลายคดีที่ผ่านมา
อาชญากรรมข้ามชาติต้องปราบแบบไม่มีพรมแดน
ทั้งนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ย้ำว่า
“ประเทศไทยจะไม่ยอมให้สแกมเซ็นเตอร์มีที่ยืนในประเทศ ทุกเบาะแสที่ได้รับจะถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่ละเว้นผู้ใด อาชญากรรมไม่มีพรมแดน
ดังนั้น การปราบปรามต้องไม่มีพรมแดนเช่นกัน และผมเชื่อว่าตำรวจและผู้บังคับจะใช้กฎหมายทุกประเทศที่อยู่ ณ ที่นี้ ล้วนมีความต้องการช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างจริงใจ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพลเมืองของประเทศใด”
พร้อมทำงานร่วมทุกประเทศในลุ่มน้ำโขง
พร้อมแสดงความจริงใจความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการร่วมปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงในนามของประเทศเหยื่อ แต่ในฐานะหุ้นส่วนที่รับผิดชอบ พร้อมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง–ล้านช้าง
ยืนยันขับเคลื่อนบทบาทของศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ให้เป็นศูนย์กลางประสานงานระดับภูมิภาค เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการปฏิบัติการร่วมของ 6 ประเทศเป็นรูปธรรม รวดเร็ว และสามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล เสนอข้อคิดเห็นเชิงนโยบาย และข้อเสนอเชิงปฏิบัติการอย่างจริงจังโปร่งใสและจริงจังตลอดการประชุม และได้เสนอกลไกที่เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ
ยืนยันไทยไม่มีฐานคอลเซนเตอร์
ยืนยันว่าไทยไม่มีฐานคอลเซ็นเตอร์ หากตำรวจไทยได้รับแจ้งข่าวว่ามีการลักลอบกระทำผิดที่ใด ทีมงานประสานงานของไทยจะแจ้งศูนย์ ACSC ตรวจสอบและจัดกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมและรายงานผลให้ประเทศที่แจ้งมาทุกกรณี “และขอให้ทุกประเทศแสดงความจริงใจ ดำเนินการให้เช่นเดียวกัน” จึงจะทำให้ปัญหานี้หมดไปจากภูมิภาคของเรา
พร้อมยกตัวอย่างเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นบริเวณแนวชายแดนไทยและเมียนมา ที่พบว่ามีกลุ่มสแกมเมอร์ 1,598 คน 28 สัญชาติ แตกต่างกัน ทางการไทยได้สอบสวนคัดแยกเหยื่อกับคนร้ายออกจากกัน และประสานส่งกลับไปยังประเทศต้นทางโดยเร็ว
ในทางกลับกัน ประเทศไทยก็มีความต้องการคนไทยที่ไปอยู่ร่วมกับกลุ่มแก็งสแกมเมอร์ ในทุกประเทศโดยเฉพาะที่มีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอื่น
ที่ประชุมตกผลึกความร่วมมือ21ข้อ
ทั้งนี้ที่ประชุมรัฐมนตรีทั้ง 6 ประเทศมีข้อสรุปความร่วมมือที่สำคัญ 21 ข้อ ดังนี้
1. ปฏิบัติการร่วมกวาดล้าง “สวนสแกม–เขตพนัน–ศูนย์หลอกลวง” และดำเนินการอย่างครบวงจร โดยไทยมีตัวอย่างความสำเร็จที่นำเสนอให้เป็นแบบอย่างได้
2. จัดปฏิบัติการร่วม (Joint Operations) เพื่อล้อมปราบเขต/นิคมที่เป็นฐานพนันออนไลน์และศูนย์หลอกลวง ทางไทยพร้อมส่งเจ้าหน้าที่ประสานงานไปร่วมปฏิบัติในทุกประเทศทุกกรณี เรียกร้องให้มีการเปิดเผยแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานเพื่อให้เกิดการขยายผลโดยไม่มีเขตจำกัด
3. จับกุมผู้ต้องสงสัยร่วมกัน ประสานการสอบสวน–เก็บพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน และพร้อมแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานระหว่างกัน ส่งมอบพยานหลักฐานทางคดีอย่างเป็นระบบ (full transfer of criminal evidence)
4. ส่งตัวผู้ต้องหา (repatriation/extradition) กลับประเทศที่ต้องการตัว แบบครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดอาชญากรกรข้ามชาติที่กระทำผิดในต่างประเทศและอยู่อาศัยอย่างลอยนวลในอีกประเทศ,
5. อายัด–ยึด–ติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี เพื่อนำส่งคืนผู้เสียหายหรือรัฐที่เกี่ยวข้อง
6. จัดตั้งกลไกประชุมอย่างเป็นทางการ 6 ฝ่าย ทั้งระดับรัฐมนตรีและระดับกรม/สำนักงาน/หน่วยงาน
7. จัดตั้ง “กลไกระดับรัฐมนตรี 6 ฝ่าย ว่าด้วยการร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์”
8. จัดประชุมประจำปีโดยหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพทั้ง 6 ประเทศ เพื่อรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการระยะต่อไป
9. ภายใต้กลไกระดับรัฐมนตรี จะมีการประชุมระดับกรม/สำนักงาน (working-level/局级) เป็นประจำ ทำหน้าที่แปลงมติระดับนโยบายให้เป็นการปฏิบัติจริงและติดตามผลอย่างใกล้ชิด
10. พัฒนาระบบประสานงานคดี–ข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน
11. จัดทำและปรับปรุงช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรองเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Call Center เว็บไซต์/แอป ตัวการสำคัญ บัญชีม้า (money mule) และสกุลเงินดิจิทัล
12. กำหนดมาตรฐานร่วมด้านการสืบสวนสอบสวนดิจิทัล เช่น รูปแบบข้อมูล Log และหลักฐานดิจิทัลที่สามารถใช้ในกระบวนการยุติธรรมของแต่ละประเทศได้
13. สนับสนุนการติดตามเส้นทางเงินและข้อมูล (fund & data flow) เพื่อเชื่อมคดีข้ามประเทศให้เป็น “คดีเดียวกัน” ที่ช่วยกันขยายผลได้
14. ขยายความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี
15. สนับสนุนปฏิบัติการร่วมระดับภูมิภาค (regional joint operations) อย่างต่อเนื่อง
16. แลกเปลี่ยนกรณีศึกษาและแนวทางกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ระบบชำระเงิน และ Crypto Exchange
17. เชิญชวน NGO และบริษัทเทคโนโลยี ร่วมมือด้านการแชร์ข้อมูล–แจ้งเตือน การปิดเว็บไซต์–ปิดหมายเลข–ปิดบัญชี การวิจัยกฎหมาย–แนวทางปฏิบัติ การพัฒนาเทคโนโลยีและฝึกอบรม (AI, Big Data, OSINT, Blockchain Analytics ฯลฯ) และจัดทำแคมเปญรณรงค์ป้องกันเหยื่อแบบหลายภาษา ข้ามพรมแดน
18. ยืนยันกรอบยุทธศาสตร์ร่วมภายใต้ความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC) และหลักนิติธรรม
19. ทุกประเทศจะใช้กฎหมายภายในของตนอย่างเต็มที่ในการปราบปรามศูนย์สแกมในเขตแดนตนเอง และ ไม่ปล่อยให้มี “Safe Haven” ของแก๊งสแกมเมอร์ในภูมิภาค
20. ยึดกรอบ Global Security Initiative, Global Governance Initiative และ MLC (Mekong-Lancang Cooperation)
21. เน้นหลักความโปร่งใส ยึดหลักนิติธรรม และผลประโยชน์ร่วมกันเป็นฐานของทุกโครงการความร่วมมือ
“หลิว จงอี้”ชื่นชมไทยชัดเจนจริงใจ
ขณะเดียวกันนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวชื่นชมประเทศไทยในมาตรการและความชัดเจนจริงใจในการปราบปรามสแกมเมอร์
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ทบทวนปฏิบัติการร่วมในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลไกไตรภาคีจีน–เมียนมา–ไทย ในการปราบปรามการพนันและสแกมในพื้นที่ชายแดนเมียนมา การปฏิบัติการร่วมจีน–ลาวในเขตพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และความร่วมมือจีน–กัมพูชา–เวียดนาม ในการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องสงสัยคดีสแกมกลับประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากรอบความร่วมมือใหม่ที่ประกาศในครั้งนี้ต่อยอดจากความสำเร็จเชิงปฏิบัติการจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวปิดท้าย ทางไทยเสนอว่าให้ ปราบที่ต้นตอ – ไม่ให้ใครเป็นที่พักพิงของแก๊งสแกม ประเทศที่มีฐานปฏิบัติการในดินแดนตนเองต้องรับผิดชอบในการดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง
การปล่อยให้ศูนย์สแกมดำรงอยู่คือการ “ให้ที่พักพิงแก่อาชญากร” ขัดต่อหลักนิติธรรมและความเป็นมิตรที่แท้จริงระหว่างประเทศ และ จัดตั้งทีมปฏิบัติการร่วม (Joint Task Force) ใช้ข้อมูลจาก ACSC แบบ Real-time
ตั้งทีมเฉพาะกิจระหว่างประเทศ
ไทยเสนอให้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจระหว่างประเทศ เพื่อเข้าปฏิบัติการทลายฐานสแกมเซ็นเตอร์ในพื้นที่จริง และะใช้กลไกระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ของ ACSC และตั้งเป้าตอบสนองต่อเบาะแสสำคัญ ภายใน 24 ชั่วโมง
พร้อมทั้ง สร้างกลไกความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วมกัน (Transparency & Accountability) ทุกกรณีที่มีการแจ้งเบาะแสระหว่างประเทศ ควรมีการรายงานความคืบหน้าต่อประเทศผู้ได้รับผลกระทบอย่างสม่ำเสมอ และ เสนอให้มีคณะทำงานร่วมทำหน้าที่ตรวจสอบและติดตามผล เพื่อให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าความร่วมมือเกิดขึ้นจริง

























