วันที่10ก.ค.61 พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.สมชาย พัชรอินโต รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต. ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.อำนาจ จันทร์เจริญ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต. สุภธีร์ บุญครอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบก.สส.ภ.1 ,พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี ผกก.สส.1ฯ , พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ ผกก.สส.2ฯ, พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด ผกก.สส.3ฯ , พ.ต.อ.ชูศักดิ์ เคทอง ผกก.ปพ.ฯ ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี ตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี ร่วมกันจับกุมเครือข่ายลักทรัพย์ตู้เอทีเอ็ม
1. นายบุญญฤทธิ์หรือเจ แก้วมณี อายุ 27 ปี ที่อยู่ 49 หมู่ที่ 4 ตำบลท่านั่ง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
2. นายพณภัทรหรือบอส สุโชคนันท์ อายุ 26 ปี ที่อยู่ 598/15 หมู่ที่ 8 ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
3. นายสมประสงค์หรือแบล็ค พงก่อสร้าง อายุ 21 ปี ที่อยู่ 59/2 ซอยชานเมือง แขวง ดินแดง เขตดินแดง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
4. นายธวัชชัยหรือปาร์ม พลายแก้ว อายุ 22 ปี ที่อยู่ 18 หมู่ที่ 7 ตำบลแม่เลย์ อำเภอ แม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์
ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม”
พร้อมของกลาง อุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและทรัพย์สินซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้อมาอีกหลายรายการ อาทิเช่น
1. เงินสด 300,000 บาท
2. ทองรูปพรรณต่างๆ ได้แก่ สร้อยคอทองทำ 4 เส้น สร้อยข้อมือ 2 เส้น พร้อมแหวนทองคำ พระเครื่องและเครื่องรางของขลัง รวมน้ำหนักทองคำ 13 บาท มูลค่า 350,000 บาท
3. รถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ 1 คัน
4. รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ส 1 คัน
5. โทรศัพท์ยี่ห้อ I-phone x 5 เครื่อง
6. รถยนต์ยี่ห้อนิสสัน มาร์ช 1 คัน เป็นรถยนต์ที่คนร้ายเช่ามาก่อเหตุ
7. ถังแก๊สพร้อมหัวตัด อุปกรณ์ที่คนร้ายใช้เจาะตู้เอทีเอ็ม
พฤติการณ์กล่าวคือ ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ได้ร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์ และพยายามลักทรัพย์ ต่อเนื่องหลายพื้นที่ ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 01.40 น. พยายามก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทยซึ่งตั้งอยู่ภายในร้านขายยาปอป้อ เลขที่ 65/3 ม.4 ต.ลำตาเสา อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยคนร้ายได้นำเทปกาวทึบปิดกล้องวงจรปิดของตู้เอทีเอ็ม แล้วได้ตัดแม่กุญแจที่ใช้ล็อคประตูเหล็กม้วนใน ชั้นแรก งัดประตูบานเลื่อนในชั้นที่สอง และใช้ความร้อนพยายามตัดประตูนิรภัยของตู้เอทีเอ็มเพื่อหวังจะเอาเงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม แต่ครั้งนี้คนร้ายลงมือไม่สำเร็จ
2. เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 03:56 น. พยายามก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้ เอทีเอ็ม ของธนาคารกสิกรไทย สาขาหนองแค ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าร้านเอกภาพ หมู่ 8 ต.ห้วยขมิ้น อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยนำเทปกาวทึบมาปิดกล้องวงจรปิดของตู้เอทีเอ็ม แล้วใช้ความร้อนพยายามตัดประตูนิรภัยของตู้เอทีเอ็มเพื่อหวังจะเอาเงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม ครั้งนี้พบร่องรอยไหม้ทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังตู้เอทีเอ็มดังกล่าว แต่ไม่สามารถนำเงินสดออกมาได้
3. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 00.20 – 01.11 น. ก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็มธนาคารทหารไทย ซึ่งติดตั้งอยู่ บริเวณด้านหน้าร้านมินิมาร์ท ภายในปั๊มน้ามันบางจาก เลขที่ 29 หมู่ 10 ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี โดยใช้ความร้อนเป่าตัดบริเวณด้านหลังตู้เอทีเอ็ม การลงมือครั้งนี้คนร้ายได้เงินสดภายในตู้เอทีเอ็มไปจำนวน 174,500 บาท
4. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เวลา 03.40 น. พยายามก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 55/17 หมู่ 1 ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี ครั้งนี้คนร้ายปรับเปลี่ยนวิธีการโดยใช้เชือกคล้องตู้เอทีเอ็มแล้วผูกติดกับรถยนต์กะบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ รุ่น ไทตั้น ซึ่งกล้องวงจรปิดจับภาพหมายเลขทะเบียน บษ 2266 นครปฐม ไว้ได้ จากนั้นจึงขับรถดึงกระชากตู้เอทีเอ็มจนล้มแต่ครั้งนี้คนร้ายลงมือไม่สำเร็จ เนื่องจากมีคนผ่านมาพบเห็นเหตุการณ์เสียก่อน
5. เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งว่า มีเหตุเพลิงไหม้รถยนต์กระบะ ยี่ห้อมิสซุบิชิ รุ่นไทตั้น สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บษ 2266 นครปฐม ที่บริเวณถนนคันคลองชลประทาน หมู่ที่ 6 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นรถคันเดียวกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี
ในครั้งนี้หลังจากคนร้ายก่อเหตุลักเงินสดตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพและธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าร้านอาหารลุงนวย ม.2 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้วิธีใช้ความร้อนเป่าตัดบริเวณด้านหลังของตู้เอทีเอ็มทั้งสองตู้ ปรากฎว่าไม่สามารถงัดเอาเงินสดในตู้เอทีเอ็มของธนาคารไทยพาณิชย์ออกไปได้ แต่สามารถงัดเอากล่องใส่เงินตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ จำนวน ๓ กล่อง แล้วขับรถหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุห่างประมาณ 5 กม. แล้วงัดเอาเงินสดจากกล้องใส่เงินได้เงินสดไป 2,000,000 บาท แต่จุดนี้รถยนต์ของคนติดหล่มและเกิดไฟลุกไหม้รถขณะพยายามนำรถขึ้นจากหล่ม คนร้ายจึงได้ทิ้งรถแล้วหลบหนีไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้บูรณาการร่วมกันในหลายพื้นที่ จนสารมารถสืบทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุทั้ง 5 ครั้งนี้เป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน มีประวัติเป็นแก๊งลักรถจักรยานยนต์มาก่อน จึงได้รวมรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดรวม ๔ ก่อนร่วมกันสืบสวนติดตามจับผู้ต้องหาทั้ง ๔ คน โดยจับกุมนายบุญญฤทธิ์หรือเจ แก้วมณีได้ในพื้นที่เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร นายธวัชชัยหรือปาร์ม พลายแก้ว จับกุมตัวได้ในเขตพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นายพณภัทรหรือบอส สุโชคนันท์ จับกุมตัวได้ในเขตพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับนายสมประสงค์หรือแบล็ค พงก่อสร้าง ผู้ต้องหาคนสุดท้ายสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในเขตพื้นที่อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พร้อมตรวจยึดของกลางดังกล่าวข้างต้นส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้พบว่าคนร้ายมีเลียนแบบพฤติกรรมและจัดหาอุปกรณ์มาจากอินเตอร์เน็ต ภายหลังก่อเหตุได้นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวและหนี้สินพนันฟุตบอล ซึ่งตำรวจภูธรภาค 1 จะได้ดำเนินการตามแผนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ก่อเหตุในลักษณะนี้ตลอดจนอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับผิดชอบอย่างจริงจังต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้มากที่สุด