Wednesday, October 30, 2024
More
    Homeท่องปทุมวันย่างก้าวปีที่3 บัลลังก์ พิทักษ์1

    ย่างก้าวปีที่3 บัลลังก์ พิทักษ์1

    ถึงแม้ภารกิจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.จะมีมากมาย แต่ยังให้โอกาส กากีกลาย ได้เข้าพบ ได้พูดคุยถึงภารกิจหน้าที่รับผิดชอบในฐานะผู้นำสูงสุดองค์กรตำรวจ หน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด รวมทั้งสิ่งที่อยากจะทำให้ตำรวจทั้งประเทศ


    ชมเปาะ บิ๊กๆตร.ร่วมมือ
    “2 ปีที่ผ่านมา สำหรับการรับราชการในตำแหน่งหัวหน้าองค์กร คือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั้น ได้วางนโยบายไว้ทั้งหมด 6 ข้อ ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง นโยบายข้อที่ 1 เรื่องการพิทักษ์ ปกป้อง เทิดพระเกียรติด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นโยบายข้อที่ 2 นโยบายด้านความมั่นคง การรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม นโยบายข้อที่ 3 การป้องกันปราบปรามและลดระดับอาชญากรรม นโยบายข้อที่ 4 การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ นโยบายข้อที่ 5 การเร่งรัดการขับเคลื่อนการปฏิรูปองค์กรตำรวจในยุคประชาคมอาเซียน และนโยบายที่ 6 การเสริมสร้างความสามัคคีและการบำรุงขวัญของข้าราชการตำรวจ ทั้ง 6 ข้อนั้น ผมได้มอบนโยบายตั้งแต่วันรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2558 เป็นต้นมา และตลอดจน 2 ปีที่ผ่านมา ก็ได้รับความร่วมมือจากท่าน รอง ผบ.ตร. ท่านจเรตำรวจแห่งชาติ ท่านผู้ช่วยฯ ท่านผู้บัญชาการภาคแต่ละภาค ทุกภาค ท่านผู้บังคับการทุกพื้นที่ ได้รับความร่วมมืออย่างดี สามารถขับเคลื่อนนโยบายทั้งหมดไปสู่เป้าหมายของการปฏิบัติ เห็นผลสัมฤทธิ์ที่น่าพึงพอใจในระดับนโยบายของผม….”นายพลหมายเลข 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่ม

    สนองนโยบาย บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม
    ส่วนนโยบายของรัฐบาล โดยท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ซึ่งดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นโยบายของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการดำรงชีพของตำรวจอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ทำให้ประชาชนเกิดความรัก ความศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนของท่านรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร นั้น ท่านต้องการให้มีการแสวงหาความร่วมมือจากภาคประชาชน ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของตำรวจทุกๆ ด้าน ก็จะมี 2 ส่วน คือส่วนของรัฐบาล โดยท่านนายกฯ และรองนายกฯ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เป็นส่วนของผม และรอง ผบ.ตร.ที่จะต้องบริหารขับเคลื่อนองค์กรให้ไปในทิศทางเดียวกัน และให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดในการให้การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

    ไม่หนักใจเพราะผ่านมาหมด
    ที่ได้มาเป็น พิทักษ์ 1 หนักใจอะไรบ้าง จริงๆ แล้ว เราเสนอตัวมาทำงาน เราผ่านงานมาทุกรูปแบบ จึงพอจะรู้ เรื่องงานไม่ได้หนักใจเลย เพราะเรารู้งาน รู้ระบบทั้งหมด ไม่ว่างานสืบสวน สอบสวน งานความมั่นคง งานกิจการพิเศษ อะไรอย่างนี้ เรารู้หมด จึงไม่หนักใจ แม้แต่คดีใหญ่ๆ ที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ก็ทำได้ จึงไม่มีอะไรที่รู้สึกหนักใจ
    งานทั่วไป ก็ทำได้หมด ส่วนคดีที่คิดว่าหนักใจแล้วไม่คิดว่าจะทำได้ ก็มีคดีระเบิดที่พระพรหม ราชประสงค์ คดีระเบิดพื้นที่ กทม.ซึ่งมีกว้างใหญ่ไพศาลมาก มันหย่อนสักลูกหนึ่ง ที่ไหน ซึ่งเราก็ไม่รู้ เราก็ต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ หาพยานหลักฐานไป ยกตัวอย่าง คดีเมื่อปี 2550 เพิ่งจับได้ในปี 2560 รวม 10 ปีแล้ว ลักษณะแบบนั้น อะไรที่ลักษณะเป็นการทำคนเดียว มันค่อยข้างลำบากเรื่องการเมือง ก็ต้องว่าไปตามนั้น กลุ่มพวกที่ไม่ประสงค์ดีต่อรัฐบาล กลุ่มนี้เรามีการเฝ้าระวังอยู่แล้ว มีการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว งานด้านการข่าว เรามีการประสานกับหน่วยข้างเคียงตลอด อย่างที่ พล.อ.ประวิตร หมายถึง ว่าจะมีกลุ่มก่อกวน ก็มีทั้งในและนอกประเทศ

    ยันเหตุร้ายใต้ลดลง
    เรื่องสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากยุบ ศชต.ตั้ง บช.ท่องเที่ยว นั้น คือการยุบรวม ศชต.กับภาค 9 ผมเชื่อว่าผู้ก่อเหตุทางใต้ เขาไม่รู้หรอกว่า ยุบแล้วจะเป็นยังไง แต่ถามว่าเรายังคงต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนต่อไปแน่นอน เพราะฉะนั้นปัญหาความมั่นคงที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับ 4 อำเภอที่ จ.สงขลา ขณะนี้มันลดลง ทั้งข้อมูลของเรา และของทหาร มันลดลง เราสามารถควบคุมได้ในบางส่วน อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ต้องยืนระยะให้ดี ต้องอดทน คิดว่าข้างหน้าต้องอดทน จากประสบการณ์ ต้องใช้เวลาสู้กัน แล้วสู้กันทางความคิด แนวความคิด ลักษณะอย่างนี้ เพราะเขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก

    สั่งเข้มคนร้ายข้ามชาติ
    พิทักษ์ 1 ที่โตมาจากงานสืบสวนบอกถึงเหตุผลการตั้ง บช.ท่องเที่ยวด้วยว่า “ตอนนี้ ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเรามีความเจริญเติบโตมาตลอด อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ยังไปได้ตลอด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยกฐานะเป็นกองบัญชาการเพื่อรองรับในรูปแบบต่างๆ เพราะการเป็น กองบังคับการ มันเล็กไป บางงานจะซ้ำซ้อนหรือไม่ กับ ตม.ก็ยังขี่กันอยู่นิดๆ แต่เราสามารถแบ่งงานไว้ได้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา เพราะการเข้าออก ของบุคคล เป็นเรื่องของ ตม.ทางท่องเที่ยว ไม่ได้เกี่ยวข้องตรงนั้น ก่อนอื่น เมื่อเขาเข้ามาพักในประเทศไทยแล้ว ตรงนี้ ท่องเที่ยว ก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องให้เขาปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อเข้ามาในบ้านเรา ตอนนี้ก็กำชับเรื่องคนร้ายต่างชาติ คืออย่างนี้ คนร้ายต่างชาติบางครั้งก็ไปเกี่ยวพันกับเรื่องความมั่นคงด้วย เป็น 2 กรณี อย่างเช่นอาชญากรรมข้ามชาติ มันจะมีงานปลอมพวกแก๊งต่างๆ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งพาคนต่างด้าว หนีเข้าเมือง ด้านความมั่นคง คือ เรื่องการก่อการร้าย แต่ส่วนใหญ่ประเทศเรา ไม่ใช่ประเทศคู่กรณี เพียงแต่เป็นประเทศที่ถูกใช้หลบหนี พักพิง อะไรอย่างนี้ เท่าที่ผมสัมผัสมา เป็นลักษณะนี้ ก็ได้สั่งการ กำชับไปทั้งหมด เพราะผมเองก็เคยอยู่พื้นที่มาก่อน ก็มองปัญหาได้ ว่าหน่วยไหนทำอะไร แล้วจะต้องมีการประสานกันระหว่างหน่วยไหน หน่วยข้างเคียง……”

    ปลิ้ม รบ.สนับสนุน ตร.เต็มที่
    ถามว่าสิ่งที่อยากทำให้ตำรวจลูกน้อง ทุกวันนี้ก็ได้เริ่มทำแล้ว อย่างเช่น เรื่องสวัสดิการ คือตำรวจ เป็นอาชีพที่น่าสงสาร น่าเห็นใจ เกี่ยวกับรถราม้าใช้ ที่พัก ที่อาศัย สัดส่วนมันยังไม่พอ แต่เราก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ ในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รถราม้าใช้ อาวุธปืนต่างๆ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องใช้ในการสืบสวน ทุกหน้างาน รัฐบาลก็พยายามซัพพอร์ตให้เต็มที่เลย สิ่งที่ผมอยากได้เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะอยู่ไปได้อีกหลายปี ก็ดำเนินการอยู่

    คิดอยากให้ตร.เกษียณมีที่อยู่
    สิ่งที่อยากทำอีกเรื่อง คืออยากให้ตำรวจเขารู้ว่าอนาคตเขาเกษียณไปแล้ว เขาคงไม่ถูกไล่ออกจากแฟลต น่าจะเป็นลักษณะอย่างนี้ แต่หาวิธีอย่างไรก็ได้ คือเอาใครมาลงทุน แล้วให้เขาผ่อน เพื่อให้บั้นปลายชีวิตเขาจะได้มีที่อาศัย ลักษณะนี้ นี่กำลังคิดถึงตรงนั้นอยู่ ส่วนของหลวงเขาสร้างให้อยู่แล้ว เป็นเฟส เป็นเฟส แต่ต้องออกตอนเกษียณ ตอนนี้ก็กำลังคิดว่าถ้าจะให้อยู่ยาว ให้ผ่อนกับใครก็ได้ ก็จะได้เป็นสมบัติของเขาในราคาถูก ลักษณะแบบนี้ อยากจะทำ ส่วนมีโครงการที่ไหน คงต้องดูสถานที่ แต่ยังไม่ได้เริ่มคุยกับนักธุรกิจหรือพวกที่ทำอสังหาริมทรัพย์ นี่คือสิ่งที่อยากทำ เพราะต้องคิดว่า ถ้าตำรวจเหล่านี้เกษียณไปไม่ได้อยู่ที่แฟลต แล้วลูก เมีย เขาจะอยู่ที่ไหน กับใคร แล้วเขาก็จะได้มีกำลังใจทำงานเต็มที่ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วเงินเดือน ทางท่าน พล.อ.ประวิตร ก็ให้เพิ่ม ชั้นประทวน ตอนนี้ผมจำตัวเลขไม่ได้ว่าได้รับเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ได้เท่าทหารแล้ว เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

    ไม่ซีเรียสข่าวเลื่อยเก้าอี้
    ส่วนข่าวเรื่องที่จะโดนเลื่อยเก้าอี้ ผบ.ตร.นั้น จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีกระแสข่าวออกมา แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไร ก็ปกติ ผมกับท่าน รอง ผบ.ตร.ทุกท่าน ก็มีความคุ้นเคย สนิทกันอยู่แล้ว เป็นเพียงแต่กระแสข่าว คนใกล้ชิด เรื่องที่มีข่าวว่า จะโดนปรับย้าย ลักษณะนี้ ก็คือหมายความว่า มันก็เป็นข่าวนะ ซึ่งผมเอง บางครั้งก็ไม่ได้ซีเรียส เพราะถือว่ายังมีเวลาทำงานอยู่ ก็ทำไป คนอื่นจะคิดยังไงก็แล้วแต่มุมมอง แต่อย่างไรก็ตาม ผมกับ รอง ผบ.ตร.ทุกท่าน ก็ยังทำงานตรงนี้อยู่ แล้วก็พูดกันชัดเจนว่า มีโอกาส ผมไม่เคยไปขวางอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับนโยบาย ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่จะพิจารณา เราไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง คนอื่นๆ ที่มีลักษณะว่ายังมีความหวังอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไร สรุปแล้ว มาถึงจุดหนึ่ง ข่าวมันก็จะเงียบหายไปเอง ถามว่าโดนตลอดมั้ย ก็โดนตลอด

    อย่าคิดมาก นรต.36 ขึ้นเป็นแผง
    สำหรับคำสั่งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ผ่านมา ที่เขาว่า นรต.รุ่น 36 ขึ้นเป็นแผงนั้น บางครั้งทุกคนก็จะบอกว่า มี พล.ต.ต.คนหนึ่งใหญ่กว่า พล.ต.อ.ซึ่งจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่หรอก และผมก็เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วครั้งหนึ่ง บางครั้งผมก็ต้องใช้คนนี้ ไปสืบสวนหาข้อมูลทางลับ ข่าวเชิงลึก แล้วมารายงานผม ก็เลยคิดว่าเขามีบทบาท ทำเรื่องบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายด้วย ซึ่งจริงๆ ไม่มีเลย สำหรับการแต่งตั้ง ที่ว่ารุ่น 36 ขึ้น เป็นแผง จริงๆ แล้ว รุ่น 34 , 35 , 36 หรือรวมไปถึง 37 ก็ได้ คือพวกนี้ เกษียณอายุราชการใกล้ๆ กัน ตั้งแต่ปี 2561-2564 เพราะฉะนั้นในรุ่นของผม ก็ถือว่าในช่วงนี้ เป็นช่วงที่โตสุด ใกล้เกษียณแล้ว ไม่เกิน 2-3 ปี ก็ทยอยเกษียณแล้ว มันก็เป็นช่วงนี้พอดี ไปสังเกตดูได้นะครับ ว่า ผบช.ภาค แต่ละที่ ก็จะมีคละกันไป ตั้งแต่ 34 , 35 , 36 หรือ 37 และ 38 อย่างนี้ ประมาณนี้ ก็หนีจากนี้ไปไม่ได้ ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่ารุ่นผมเนี่ย มันโตมาหลากหลาย ทั้งงานสืบ งานสอบ งานป้องกันปราบปราม แต่ส่วนใหญ่ก็จะโตในหน้าที่ตัวเองทั้งนั้น ไม่แปลกที่ถึงเวลา อายุก็ได้ จะเป็นลักษณะนี้ เป็นอย่างนี้ รุ่นหลังๆ ต่อไปจากนี้ รุ่น 38 , 39 หรือ 40 ก็ต้องขึ้นมาแทน ลักษณะเป็นอย่างนี้ อยู่แล้ว เป็นปกติ อย่าไปคิดมากว่ารุ่น 36 ขึ้นมาเยอะ ก็ไปดูว่า 35 ก็ขึ้นมาหลายที่ เหมือนกัน เพราะเกษียณใกล้กัน โตมาในลักษณะที่เหมือนกัน

    รับโทรศัพท์เอง บริการปชช.อีกทาง
    เมื่อถามว่า ภารกิจมากขนาดนี้ พักผ่อนอย่างไร นายพลนักสืบบอกว่า “ ส่วนใหญ่จะนอนหลังเที่ยงคืนตลอด ระหว่างก่อนเที่ยงคืนถึงตี 2 ก็ต้องคอยติดตามสถานการณ์ แล้วโทรศัพท์ก็ต้องคอยรับโทรศัพท์ตลอด บางครั้ง มีคนถูกจับเป่าเมา จากการตั้งด่านของตำรวจ โดนข้อหา แล้วใครก็ไม่รู้ โทร.มาหาผม เพราะเบอร์โทรศัพท์ผมนี่เป็นเบอร์สาธารณะไปแล้ว เพราะผมใช้ตลอด แม้จะเปลี่ยนเบอร์ก็ได้ แต่เบอร์นี้ส่วนใหญ่จะเป็นการร้องเรียนบ้าง ซึ่งเราก็รับฟังได้ในหลายๆเรื่อง ได้สามารถขจัดความกังขาของพี่น้องประชาชนซึ่งมีผลโดยตรงกับการทำงานของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเขาก็ให้ข้อมูลมา และผมก็สนองตอบทันที ซึ่งเขาเองเขาก็ตกใจว่า ผบ.รับเอง และสั่งการเอง ซึ่งเขาก็เห็นเราว่ามีความชัดเจน แล้วเราถือว่าเราก็ได้บริการประชาชนอีกทางหนึ่ง เราไม่ได้ถือเนื้อถือตัวอะไร บางครั้งเนี่ย มีอยู่คนหนึ่ง ประสาทก็ไม่ค่อยดี ก็โทร.มา ผมก็จำใจต้องคุยสายด้วย ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่พอฟังไปฟังมา ถึงได้รู้ว่าเขาเนี่ย มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ก็มีบ้าง มีทุกรูปแบบ ก็คุย แต่อันไหนที่ผมดูแล้วว่าไม่ชอบมาพากล ก็จะบอกว่าเดี๋ยวให้โทร.หาเบอร์คนที่รับผิดชอบโดยตรงเลย ก็ต้องใช้เบอร์นี้ต่อไป ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ แล้วผมก็ใช้เบอร์นี้มานานนับสิบปี ตั้งแต่อยู่กองปราบ ยังเป็น ร.ต.ท. ร.ต.อ.ก็ใช้มาไม่เคยเปลี่ยน ……”

     

    งานหนัก ต้องหาเวลาออกกำลังกาย
    ส่วนการดูแลร่างกาย จริงๆ ผมก็เป็นคนดูแลสุขภาพเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเวลามันมีน้อย ก็ต้องรับสภาพไป บางครั้งเดือนหนึ่ง แทบไม่ได้ออกกำลังกาย มีอยู่ช่วงหนึ่งได้ไปปั่นจักรยาน ก็ปั่นได้ประมาณ 1 เดือน ก็เลิก เพราะสนามซ่อม ก็เปลี่ยนมาวิ่งสายพานที่บ้าน ต้องเดิน วิ่ง ประมาณเที่ยงคืน ไม่งั้น ไม่มีโอกาส ซึ่งบางครั้งเรากลับบ้าน ไม่ตรงเวลา เพราะฉะนั้นตารางการออกกำลังกายมันผิดไปหมด เพราะเราก็ต้องทำงาน

    ชาวบ้านมาโรงพักต้องประทับใจ
    พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังฝากถึงข้าราชการตำรวจทั่วประเทศด้วยว่า “อยากให้ตำรวจทุกนาย ดูแลพี่น้องประชาชน ด้วยความจริงใจ ให้การบริการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่เราจะต้องสัมผัสเกือบทุกวัน โดยเฉพาะโรงพักทุกสถานี 1,832 โรงพัก ผมอยากจะให้พี่น้องประชาชนขึ้นมาแล้วเกิดความสบายใจ ประทับใจ ไม่ใช่ลงไปแล้วด่าตำรวจลับหลังอย่างนี้ ผมก็พยายามขับเคลื่อนตรงนี้มา ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในตำแหน่ง ว่าจะทำยังไง ให้โรงพักให้การบริการพี่น้องประชาชนได้แบบเขามาแล้วไป แล้วอยากกลับมาอีก คือ อยากให้มีความผูกพันกัน เป็นเสมือนเป็นญาติกัน ไม่ใช่อะไรก็ไม่รู้ ไปดุด่า กระโชกโฮกฮาก อะไรอย่างนี้ ไม่เหมาะ เขามา เพราะเขาเดือดร้อน คนที่มาโรงพัก ไม่ใช่คนที่มีความสุขนะ เขามีความทุกข์ แล้วเขาต้องการหาที่พึ่ง แล้วถ้าไปซ้ำเติมเขาอย่างนี้ก็ไม่ใช่ แล้วแบบที่ไปซ้ำเติมเขา ผมก็ปลดออก ไล่ออกไปหลายคนแล้วนะ ที่มีพฤติกรรมไม่ดีอย่างนี้ มาโรงพักแล้วต้องให้เหมือนไปวัด มาแล้วสบายใจ ไม่ใช่มาถึง ลงไปก็ด่าตำรวจลับหลัง อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจตำรวจมากขึ้น อยากให้ใจเย็นๆ……”

    มีเวลาจะแอบไปให้กำลังใจลูกน้อง
    เรื่องไปเยี่ยมชมโรงพักโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ผมจะไปประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าช่วงไหนที่มีงานเยอะ ก็คงไม่ได้ไป แต่ถ้าว่างปั๊บ ก็จะไป เพราะผมโตมาจากหน่วยปฏิบัติ ผมรู้ว่าโรงพักต้องการอะไร จริงๆ เขาไม่ได้ต้องการอะไร เขาต้องการให้ผู้บังคับบัญชาไปเยี่ยม ไปให้กำลังใจในการทำงาน ไปชมเชย ลักษณะไปตรวจเยี่ยม ยิ้มแย้มแจ่มใส โอภาปราศรัยด้วย โดยอาศัยสิ่งที่ลูกน้องต้องการให้ผู้บังบัญชาไปเห็นการทำงานในโรงพัก

    ดีใจ ภูมิใจ ได้ดูแลทุกข์สุขชาวบ้าน
    เพราะฉะนั้น 2 ปีที่ผ่านมา ถามว่ามีความหนักใจ มีปัญหาอุปสรรคใดๆ หรือไม่ มันก็มีตลอด เพราะงานตำรวจ เป็นอาชีพที่ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนมากที่สุด มีบวก มีลบ ปะปนกันไป เพราะเราเป็นอาชีพที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย ใกล้ชิดประชาชน แต่ถามว่าทุกครั้งที่ทำคดีเสร็จ ประสบความสำเร็จ สามารถจับกุมคนร้ายได้ เราก็มีความดีใจ ภูมิใจ แต่ถามว่าที่เราดีใจ ภูมิใจ เพราะว่าได้ดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนแล้ว เราได้ทำหน้าที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน หรือการปราบปราม เพราะเป็นอาชีพของเราโดยแท้ เพราะฉะนั้น บางช่วงบางเวลา จะมานั่งท้อ นั่งน้อยใจ ก็คงมี แต่ก็มีน้อยมาก เพราะเราต้องทุ่มเทและอยู่กับประชาชน

    ถึงเวลาจะน้อยในการพูดคุย มีอะไรที่อยากจะถามอีกมาก แต่ภารกิจ ผบ.ตร.มากจริงๆเดี๋ยวคนนั้นคนนี้มารายงาน เต็มไปหมด ไว้มีโอกาส มีจังหวะจะไปพูดคุยกับผู้นำตำรวจ-จักรทิพย์ ชัยจินดาอีกครั้งครับ….

    กากีกลาย5/10/60

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments