เที่ยงวันที่ 30 พ.ค. พ.ต.อ.ธีระ เถระพัฒน์ ผกก.สน.ท่าข้าม พร้อม พ.ต.ท.ภาวัต วรรธสุภัทร รอง ผกก.สส.สน.ท่าข้าม
นำกำลังจับกุม นายจีรวัฒน์ หรือโต๊ด อายุ 34 ปี และ นายพงษ์พันธ์ หรือตั้ม อายุ 38 ปี ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ลงวันที่ 29 พ.ค.63 ข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะฯ
พร้อมของกลาง รถ จยย.ยามาฮ่า รุ่นนูโว สีน้ำเงิน-เทา ทะเบียน สฉข 286 กรุงเทพมหานคร หมวกนิรภัย 2 ใบ และเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ 2 ชุด
จับกุมได้ที่ริมถนนเจริญนคร แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กทม.
สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 07.52 น.วันที่ 24 พ.ค.63น.ส.วะลัยพรณ์ ปัดทุม อายุ 41 ปี อาชีพแม่ค้าส้มตำ ริมถนนพระราม 2 ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ว่า
ขณะขี่รถ จยย.ส่วนตัวไปจ่ายตลาดที่แยกบางบอน ขากลับระหว่างมุ่งหน้านำของสดไปที่ร้านเพื่อเตรียมขายส้มตำ
มีคนร้าย 2 คน ขับขี่และซ้อนท้ายรถ จยย.แบบผู้หญิงไม่ทราบยี่ห้อรุ่น เข้ามาประกบก่อนกระชากสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท ซึ่งสวมใส่อยู่ที่คอ แล้วเร่งเครื่องหลบหนีไปทางถนนพระราม 2
ต่อมาฝ่ายสืบสวนนำโดย พ.ต.ท.อุเทน รวมสุข สว.สส.สน.ท่าข้าม และ ร.ต.อ.เจษฎา จันทศรี รอง สว.สส.สน.ท่าข้าม นำกำลังลงพื้นที่แกะรอยจากกล้องวงจรปิด
ทราบว่า คนร้ายทั้ง 2 คน คือ นายจีรวัฒน์ อาชีพพนักงานล้างจานโรงแรมแห่งหนึ่งย่านเจริญนคร และ นายพงษ์พันธ์ อาชีพขี่วิน จยย.รับจ้างย่านเจริญนคร โดยใช้รถ จยย.ของ นายพงษ์พันธ์ ลงมือก่อเหตุ จึงขออนุมัติหมายจับจากศาลติดตามไปจับกุมตัวได้พร้อมของกลางในที่สุด
สอบสวน นายพงษ์พันธ์ ยอมรับว่า ช่วงนี้มีวิกฤตโควิด-19 วิ่งรถวินไม่ค่อยได้ลูกค้า ชักชวน นายจีรวัฒน์ เพื่อนรุ่นน้องซึ่งปัจจุบันโรงแรมไม่ได้เปิดให้บริการทำให้ขาดรายได้จากการรับจ้างล้างจานมา 2 เดือนแล้ว มาลงมือก่อเหตุ
โดยตนทำหน้าที่ขี่รถ จยย.พานายจีรวัฒน์ ซ้อนท้ายไป และกระชากสร้อยคอทองคำของเหยื่อเองเมื่อสบโอกาส
จากนั้นนำสร้อยทองของกลางหนัก 2 บาท ไปขายพรรคพวกได้เงินมา 25,000 บาท แบ่งกันกับนายจีรวัฒน์ คนละ 12,500 บาท นำมาใช้จ่ายประจำวัน กระทั่งตำรวจแกะรอยมาตามจับกุม
จากการตรวจเช็คข้อมูลประวัติพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เคยถูกจับกุมข้อหาวิ่งราวทรัพย์ มาก่อน
โดย นายพงษ์พันธ์ ถูกตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ จับกุมเมื่อปี 2550 ส่วนนายจีรวัฒน์ ก็ถูกตำรวจ สน.บุปผาราม จับกุมเมื่อปี 2550 เช่นกัน
เบื้องต้นชุดจับกุมจึงแจ้งข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะฯ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ส่วนสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท ที่ผู้ต้องหานำไปขายจะติดตามมาคืนให้ผู้เสียหายต่อไป