ปีใหม่นี้ ใครยังไม่มีแพลนเที่ยวไหน โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่ หรือเพื่อนฝูงเป็นหมู่คณะ หากมีเวลาสัก 3 วัน ขอแนะนำวังเวียง เมืองแห่งธรรมชาติของสปป.ลาว ไม่ไกลอย่างที่คิด
หลังติดต่อซื้อทัวร์ได้ เรามุ่งตรงดิ่งมาที่หนองคาย ถึงสักเที่ยง หาอาหารริมโขงแล้วแต่ชอบ ก่อนเดินทางข้ามประเทศทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว สักช่วงบ่ายสองบ่ายสาม ระหว่างรอไกค์ทำเรื่องข้ามแดน บางคนอาศัยจังหวะ15-20 นาทีแวะช็อปที่ดิวตี้ฟรี ตามประสาคนไทย
ห
ลังเสร็จเรื่องข้ามแดน เราไปไหว้พระวัดพระธาตุหลวง วัดคู่เมืองลาว และไปถ่ายรูปที่ประตูชัย กลางเมืองเวียงจันทร์ เขาบอกว่า ใครไม่มานี่ เหมือนกับว่ามาไม่ถึงเมืองลาว
คืนแรก คณะเรามีทั้งหมด 18 ชีวิต ครบทุกวัย นอนอยู่ที่โรงแรม ริมน้ำโขงฝั่งตรงข้าม อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย พอรุ่งเช้า นั่งรถมินิบัสมุ่งสู่วังเวียงเป้าหมาย ล้อหมุนตั้งแต่เช้า 8โมง ไปถึงวังเวียงเที่ยงกว่า แม้ระยะไม่ถึง 200 กม. แต่ถนนเป็นแบบรถสวนทางและขึ้นเขาตลอด แต่ก็ยังดี กลางทางมีปั๊มน้ำมัน และมีมินิมาร์ตเล็กๆพอให้ซื้อของกินของใช้กระจุกกระจิก เข้าห้องน้ำห้องท่าคลายเมื่อยไปได้หน่อย
หลังมื้อเที่ยง ไกค์สาวลาวพาไปถ้ำจัง แต่ต้องข้ามลำน้ำซองด้วยสะพานแขวนสีแสดแสบตาอันเป็นสัญลักษณ์ ตอนเดินก็สนุก โยกไปโยกมา ไม่เมารถ แต่มาเมาสะพาน สนุกไปอีกแบบ จากนั้นภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นบันไดขึ้นไปบนเขาสูงชันชวนเสียว มีคนนับได้ 147 ขั้น เดินขึ้นไปดูหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ และนั่งชมวิวแบบพานอรามาของเมืองวังเวียง พอหายเมื่อยก็เดินลงมาขึ้นรถกลับเข้าโรงแรม
ช่วงที่เราไปเป็นวันชาติ สปป.ลาวพอดี คนเลยมาเที่ยวที่วังเวียงเยอะมาก ตัวเมืองวังเวียง ไม่ต่างจากพัทยา หรือภูเก็ต โรงแรมร้านค้าร้านอาหารหลากสไตล์แน่นเอี้ยดแทบทุกตารางนิ้ว โดยเฉพาะตามแนวของลำน้ำซอง ยิ่งช่วงค่ำแล้ว สีสันยามกลางคืนต้องบอกว่าใช่เลย เสียงเพลงไทยฮิตฮอตหลายเพลงลอดออกมจากร้านอาหารกึ่งผับ ดังไปทั่ว นอกจากนี้ร้านค้าที่ขายของเกี่ยวกับการเล่นกีฬาทางน้ำ ตั้งแต่เสื้อผ้า ถุงใส่เครื่องใช้กันน้ำ รวมทั้งร้านขายอีเวนต์กิจกรรมผจญภัยต่างๆมีให้เลือกเต็มไปหมด
นอนวังเวียงคืนแรก ตื่นเช้ามา ไกค์พาเราเดินทางไปที่ บลูลากูน 2 คราวนี้ต้องเปลี่ยนจากรถมินิบัสเป็นรถคล้ายๆสองแถวบ้านเรา วิ่งตะลุยฝุ่นออกนอกเมืองประมาณครึ่งชั่วโมง เห็นบรรดานักท่องเที่ยวขับรถบันจี้เป็นกลุ่ม สลับกับขี่จยย.ตลอดทาง
จนถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ว่า บลูลากูน 2 เป็นสระน้ำสีฟ้าใส ทำห้างไว้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นบันไดวัดความกล้ากระโดลงมา มีภูเขาสูงเต็มไปด้วยต้นไม้อยู่ด้านหลัง เจ้าของสถานที่ดัดแปลงทำซิบไลน์ ให้คนที่ชอบผจญภัยเหาะไปตามสลิงตามแนวเส้นทางป่าเขาที่วางไว้ สนนราคาคนละะ 500 บาท นานหน่อยก็800 บาท มีคนเล่นทุกวัย ส่วนบลูลากูน 1 ไกค์พาเราไปด้วย แต่สถานที่เล็กกว่ามาก เขาเลยพัฒนาไปทำบลูลากูน 2 คนที่มาเที่ยวทั้ง 2 แห่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย จีน และเกาหลีใต้
เสร็จจากนั้น เราไปต่อกันที่ถ้ำลอด เป็นสถานที่เที่ยวซิบไลน์อีกแห่ง แต่พิเศษตรงมีบ้านพักอยู่บนห้างไม้ขนาดใหญ่ ใครขึ้นไปอยู่ ก็ต้องอยู่ทั้งคืนท่ามกลางป่าเขา ชิวๆไปอีกแบบ ส่วนถ้ำลอดที่ว่า เขาจะให้นักท่องเที่ยวนั่งบนห่วงยาง ใส่ไฟฉายติดหัว แล้วเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด เย็นยะเยือก ถ้าเข้าไปไม่กี่คนคงเสียวพิลึก ใครเคยไปถ้ำมรกต จ.ตรัง บรรยากาศจะประมาณนั้น จบทริปนั้นด้วยการพายเรือคายัค ชมวิวลำน้ำซองกลับโรงแรม
หลังจากนอนเป็นคืนสุดท้ายที่วังเวียง 7 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น เราต้องรีบลุกเดินทางกลับเวียงจันทน์ มีแวะดูร้านขายปลาแห้งของชาวบ้านกลางทาง ซื้อติดไม้ติดมือพอเป็นพิธี ก่อนเข้ากินมื้อเที่ยงที่เวียงจันทน์ แวะไหว้วัดหอพระแก้ว เป็นที่สุดท้ายก่อนข้ามแดนกลับไทยโดยสวัสดิภาพ
ใครที่สนใจอยากไปวังเวียง ค้นหารายละเอียดมากกว่านี้ได้จากกูเกิล มีรายละเอียดมากทั้งที่กิน ที่พักและที่เที่ยว
เฮียเก๋ บันทึก14/12/60