สตม.แถลง 2 คดีบิ๊ก เคสแรกหนุ่มจีนเครือข่ายฟอกเงินของขบวนการแก๊ง call center มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท คดีที่2 ขบวนการลักลอบขนยาเข้าแดนโสมผ่านพัสดุ พบของกลางมูลค่ากว่า 17 ล้านบาท
วันที่31พ.ค.66ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.ส.สตม, พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวนบก.สส.ตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
1.สตม. รวบหนุ่มจีนเครือข่ายฟอกเงินของขบวนการแก๊ง call center มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท สืบเนื่องจากการประสานงานกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กรณีผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีนรายสำคัญ คือ MR.XU หรือ นายชู (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ฟอกเงินของขบวนการ แก๊ง call center ที่ตั้งฐานอยู่ในประเทศกัมพูชา มีมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท บก.สส.สตม. ได้สืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายจนทราบว่า MR.XU ถือหนังสือเดินทางสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 ด้วยวีช่าท่องเที่ยว
และได้ซ่อนตัวอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงได้เฝ้าดูและติดตามจนพบ MR.XU ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน และถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวฯ อยู่บริเวณริมถนนแถวคอนโดดังกล่าว จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจค้น MR.XU ได้สมัครใจพาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเข้าตรวจค้นห้อง ผลการตรวจค้นพบ โทรศัพท์มือถือและบัตรเครดิต จำนวนหลายรายการ จากนั้นจึงได้นำตัวส่ง กก3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากการสืบสวนทราบว่า MR.XU มีหน้าที่ฟอกเงินให้แก๊ง call center ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศกัมพูชา โดยนำเงินที่แก๊ง call center ได้มาจากการหลอกลวงประชาชนมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิตอล หรือติดต่อคนที่อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าซื้อทองคำหรืออสังหาริมทรัพย์ จากการตรวจสอบพบว่า ฟอกเงินให้ขบวนการแก๊ง call center มากกว่า 2,500 ล้านบาท
2.สตม.รวบมือขวาขบวนการลักลอบขนยาเข้าแดนโสมผ่านพัสดุ พบของกลางมูลค่ากว่า 17 ล้านบาท ในช่วงระหว่างเดือน มิ.ย.65 ถึง มี.ค.66 กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ณ กรุงโชลได้มีปฏิบัติการปราบปรามเพื่อป้องการการระบาดของยาสพติดบริเวณโดยรอบสถานบันเทิง เช่น ย่านกังนัม และย่านแทวอน จับกุมผู้เกี่ยวข้องในการจัดจำหน่ายยาเสพติดและผู้เสพสารเสพติด ทั้งหมด 70 ราย ยึดของกลางยาเสพติดหลายประเภท มีมูลค่าสูงถึง 620 ล้านวอน ยึดเงินสดมูลค่า 19.15 ล้านวอน รวมเป็นเงินไทยกว่า 17 ล้านบาท
โดยในช่วงดังกล่าว เจ้าหน้าที่สืบสวนของกรุงโซลสืบพบว่า MR.KIM ได้หลบหนีมายังประเทศไทย กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ณ กรุงโชล จึงได้ประกาศออกหมายแดงของตำรวจสากล (INTERPOL) สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยจึงประสานมายัง สตม. เพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศกาหลีใต้รายสำคัญ คือ MR. KM หรือ นายคิม (นามสมมติ) อายุ 26 ปี สัญชาติเกาหลีใต้
ซึ่งอยู่ในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติรับผิดชอบขนยาเสพติด บก.สส.สตม. ได้สืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายจนทราบว่า MR.KIM ถือหนังสือเดินทางประเทศเกาหลีใต้เดินทางเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.65 ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว และได้หลบช่อนอยู่ในหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่ง ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จึงได้เฝ้าดูและติดตามจนพบ MR.KIM ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับประเทศเกาหลีใต้และได้อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด อยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ โทรศัพท์มือถือ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นาจอมเทียน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากการสืบสวนทราบว่า MR.KIM จะใช้แอพพลิเคชั่น “เทลแกรม” เพื่อติดต่อซื้อขายยาเสพติดกับลูกค้า และเมื่อมีการตกลงสั่งซื้อ MR.KIM จะแบ่งยาเสพติดให้มีสัดส่วนที่เล็กลงและนำไปไว้ในสถานบันเทิงที่ลับตาคนที่ได้มีการนัดหมายกับผู้ซื้อไว้ล่วงหน้า เพื่ออำพรางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็น อีกทั้ง MR.KIM ยังเป็นผู้รับหน้าที่ขนยาเสพติดจากประเทศไทยส่งออกไปยังประเทศเกาหลีใต้ สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ
รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยต่อไป.