คดีหนุ่มพม่าที่เข้ามาทำงานโรงงานที่จ.ขอนแก่น ถูกตำรวจยศสิบตำรวจเอก จ่อยิงเสียชีวิตคาเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลขอนแก่น
ขณะรอรับการผ่าตัดที่อาคารศัลยกรรมระบบปัสสาวะ ชั้น 5 อาคาร6 กลางดึกวันที่ 6 มิถุนายน 2567
ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น และสืบสวนภาค 4 ร่วมกันจับกุมสิบตำรวจเอกผู้ก่อเหตุอุกอาจในโรงพยาบาลมาดำเนินคดี ทราบว่าสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นเคยปฏิบัติหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เวฬุวัน รับผิดชอบพื้นที่โรงงานผลิตแหและอวน ซึ่งหนุ่มพม่าผู้ตายทำงานมาก่อนระยะหนึ่ง ก่อนที่สิบตำรวจเอกจะย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ สภ.พระยืน ได้ 3 ปี
การสอบสวนไปถึงภูมิหลังของสิบตำรวจเอก ผู้ต้องหาคดีนี้ พบว่ามีอาการป่วยโรคซึมเศร้า และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้บังคับบัญชาได้ย้ายจากงานฝ่ายสืบสวนให้ไปปฏิบัติหน้าที่สิบเวรในโรงพักแทน เพื่อไม่ให้เจอกับเรื่องเครียดมากในการทำงาน
นอกจากนี้การสอบสวนลงลึกพบว่าสิบตำรวจเอกผู้นี้ยังติดยาบ้าอีกด้วย จากการตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง
ในชั้นต้นสิบตำรวจเอก ยอมรับสารภาพยิงหนุ่มพม่าเสียชีวิตจริง แต่อ้างว่าไม่รู้ยิงไปทำไม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักหรือมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
นอกจากนี้ทางแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่นยืนยันว่าหนุ่มพม่าได้มีเรื่องก่อกวนพ่อของสิบตำรวจเอก ซึ่งเป็นคนไข้ที่นอนอยู่ที่เตียงผู้ป่วยข้างเคียงกันแต่อย่างใด
สรุปคร่าว ๆแสดงให้เห็นว่า อาการป่วยโรคซึมเศร้า รวมทั้งการเสพยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง น่าจะเกี่ยวโยงเป็นแรงโน้มน้าวใจให้สิบตำรวจเอกก่อคดีโหดเหี้ยมอย่างง่ายดาย โดยที่จิตใต้สำนคึกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ประกอบกับอาการทางจิตผิดปกติ ไม่ว่าจะมาจากอาการโรคกำเริบและอาการหลอนประสาทจากยาเสพติด
เมื่อตำรวจผู้มีอาวุธปืนพกติดตัวตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมยับยั้งชั่งใจตัวเองได้เช่นนี้แล้ว สังคมเราก็เหมือนตกอยู่ในกรงขังร่วมกับสัตว์ดุร้ายอย่างเสือ สิงห์ ดี ๆ นี่เอง
แต่ที่ร้ายแรงและน่าสะพรึงกลัวมาก ๆ เมื่อเราไม่มีทางรู้เลยว่า ใครเป็นเสือใครเป็นสิงห์ที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อเมื่อใดก็ได้
บ้านเมืองเราเกิดเรื่องราวคดีสะเทือนขวัญในลักษณะเดียวกันนี้หลายต่อหลายครั้ง
อย่างเมื่อ 2 ปีก่อน ที่จ.หนองบัวลำภู เกิดคดีอดีตตำรวจหนุ่มยศสิบตำรวจเอกที่ถูกไล่ออกจากราชการ พกพาอาวุธไปรัวยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีเด็กวัยอนุบาลและบุคลากรเสียชีวิตรวม 38 ศพเป็นโศกนาฏกรรมที่แสนสลดหดหู่ใจสะเทือนอารมณ์อย่างมหาศาลมาแล้ว
ผู้ก่อเหตุก็ประสบปัญหาติดยาเสพติดเช่นเดียวกันจนถูกไล่ออกจากราชการก่อนจะเกิดอาการประสาทกำเริบปะทุรุนแรงจนก่อคดีน่าสลดใจอย่างยิ่ง
หลังเกิดเหตุตำรวจผู้บังคับบัญชาของอดีตตำรวจมือปืนรายนี้ออกมากล่าวว่าถือเป็นบทเรียนสำคัญที่จะนำมาแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก
แล้วทำไมบทเรียนนี้ไม่ได้รับการถอดบทเรียนหาทางแก้ไขให้ได้เสียที ย้อนรอยกลับมาเกิดเหตุในทำนองเดียวกันอีก โดยเฉพาะในสถานที่ที่น่าจะเป็นสถานที่ปลอดอาวุธและภัยอันตรายทั้งปวง
ยิ่งต้นเหตุที่มาจากคนที่ควรจะมีสามัญสำนึกในเรื่องการรักษาความปลอดภัยอย่างสูงสุด เนื่องจากมีหน้าที่หลักในวิชาชีพของตนเองคือการรักษาความปลอดภัยให้แก่สังคมส่วนรวมเป็นหลักการพื้นฐานอยู่แล้ว
แต่กลับกลายเป็นบุคคลที่สังคมไม่อาจจะไว้วางใจได้เลยไปเสียอย่างนั้น
ผู้บริหารองค์กรตำรวจ ตลอดจนผู้บังคับบัญชาระดับสูง มักจะทำได้เพียงออกมาขอโทษขอโพยสังคม และอ้างว่าองค์กรตำรวจมีคนจำนวนหลายแสนคน ย่อมมีบ้างที่อาจจะประพฤติตนนอกลู่นอกทาง และมักท่องเป็นสูตรสำเร็จเสมอๆ ว่า เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นนี้ถือว่าเป็น “บทเรียน” ที่องค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะนำไปศึกษาถอดบทเรียนเพื่อนำมาแก้ไขต่อไป
แล้วนี้มันอย่างไรกันล่ะ เรื่องที่อดีตตำรวจก่อคดีครึกโครมสังหารหมู่เด็กเล็กยังไม่ทันจางหายไปเลย ก็มาเกิดเรื่องใหม่ขึ้นในลักษณะเดียวกันอีกแล้ว
อย่าบอกว่าจะถือเป็นบทเรียนอีก เพราะบทเรียนมันมีมากเกินพอที่จะภินท์พังลงมาทับศีรษะของผู้บังคับบัญชาผู้บริหารองค์กรสักวันหนึ่ง
ถ้ายังคิดว่า “บทเรียน”ที่ผ่านมาคดีแล้วคดีเล่ายังไม่เพียงพอ
ดอนรัญจวน
10/6/2567