ใครไปเยือนวังน้ำเขียว ต่างบอกว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย คนที่นั่นได้ยินแล้วเป็นปลื้ม แต่ช้ำใจเพราะนายทุนต่างแห่ไปยึดครองบุกรุกพื้นที่ป่าไม้กันวุ่นวาย ถึงวันนี้วังน้ำเขียวกลายเป็นแดนต้องห้าม จะถูกทางราชการยึดผืนดินคืน จนเริ่มมีคนถามไถ่หาดินแดนใหม่ๆที่ยังไฉไลเหมาะกับการพักผ่อน
โอกาสนี้ขอแนะนำ โนนดินแดง อำเภอเล็กๆใน จ.บุรีรัมย์ แดนดินถิ่นภูเขาไฟที่น้อยคนนักจะได้ไปสัมผัส ทั้งที่อยู่ห่างกรุงเทพฯเพียง 300 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น ถนนหนทางสะดวกสบาย ขับรถเรื่อยๆแค่ 4 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว จะใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ-สีคิ้ว-บุรีรัมย์ หรือ กรุงเทพฯ-ตาพระยา-บุรีรัมย์ ระยะทางก็สูสีกัน
ที่นั่นไม่มีตึกสูง รีสอร์ตหรู ผับเธค บาร์เบียร์ แม้แต่ร้านสะดวกซื้อยังหายาก ที่มีแน่ๆคือ สีเขียวของต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ อาหารอร่อย และวิถีชีวิตเรียบง่ายของเจ้าถิ่น ที่ยังผูกพันกับวัฒนธรรมอีสานดั้งเดิม พร้อมหยิบยื่นอัธยาศัยไมตรีให้ผู้มาเยือนรู้สึกอบอุ่น
โนนดินแดง ฟังชื่ออาจดูแห้งแล้งไร้ความสดชื่น แต่ที่นี่คือเมืองชุ่มน้ำ มี เขื่อนลำนางรอง ขนาดความจุ 121 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ใช้ประโยช์ด้านชลประทานและเกษตรกรรม รอบๆเขื่อนได้รับการปรับปรุงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ มีหาดทรายไว้ให้ลงเล่นน้ำ มีร้านอาหาร บ้านพัก ห้องประชุม และค่ายพักแรม บนสันเขื่อนมีถนนลาดยางให้ขับรถชมทัศนียภาพกว้างไกลสุดตา ถ้าเวลาเหลือเฟือควรเหมาเรือชาวบ้านล่องทะเลสาบชมวิถีชีวิตผู้คนและนกน้ำนานาชนิด
ในช่วงยามอาทิตย์อัสดง จะย่ิงสนุก ได้ความรู้ และสัมผัสความงดงามแสนประทับใจ ใกล้เขื่อนลำนางรอง ยังมีอ่างเก็บน้ำคลองมะนาว บรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับการนั่งทอดอารมย์จริงๆ
จุดชมวิวอาทิตย์ตกดินอีกแห่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ “ไก่ฟ้า-ผาแดง” ชื่อเก๋ๆนี้มีประวัติมาจากนามเรียกขานฐานปฏิบัติการของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เมื่อปี 2517 เนื่องจากมีผาหินสีแดงสูงชัน ชัยภูมิเหมาะกับการกำบังภัยและซุ่มโจมตี อีกทั้งผืนป่าแถบน้ีเคยมีไก่ฟ้าหากินอยู่มาก จึงเป็นที่มาของชื่อ ต่อมาทหารพรานบุกเข้ามาตีฐานแห่งนี้ในช่วงก่อสร้างถนนสายละหานทราย-ตาพระยา แต่กว่าจะตีฐานแตก ทั้ง 2 ฝ่ายต่างสูญเสียเลือดเนื้อจำนวนมาก
ส่วนใครที่ชอบเข้าป่านั่งห้างส่องสัตว์ มาโนนดินแดงรับรองไม่ผิดหวัง ที่นี่เป็นผืนป่าเดียวกับ“ดงพญาเย็น-เขาใหญ่” ซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ โดยมี หน่วยละเลิงร้อยรู เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ เป็นตัวชูโรง บางคนบอกฟังชื่อแล้วจั๊กกะจี้
เจ้าหน้าที่ป่าไม้เล่าให้ฟังว่า มันมีที่มาจากภาษาเขมร “ละเลิง” คือ ร่าเริง ส่วน“ร้อยรู” คือตาน้ำที่ผุดขึ้นมาอย่างพรั่งพรู ในอดีตสมัยสงครามเขมรสามฝ่าย รัฐบาลไทยสมัยนั้น อนุญาตให้กองกำลังเขมรแดงเข้ามาใช้ผืนป่าละเลิงร้อยรู เป็นค่ายฝึกรบ โดยทหารเขมรยังทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า เป็นซากหัวกระสุนปืนอาก้ากลาดเกลื่อนในสนามซ้อมยิงปืน แต่ที่น่าเสียดายคือเขมรได้ใช้รถแมรโครขุดดิน จนตาน้ำนับร้อยรวมกันกลายเป็นบ่อน้ำ ปัจจุบันเป็นแหล่งอาศัยหากินของฝูงนกเป็ดน้ำที่หลบหนาวมาเยือน และเป็นที่เล่นน้ำของโขลงช้างป่า
ละเลิงร้อยรู มีหอดูสัตว์ที่สร้างไว้อย่างดีหลายแห่ง เพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาชีวิตสัตว์ป่าและระบบนิเวศของผืนป่าเขตร้อน สัตว์ป่าเจ้าถิ่นเด่นๆ อาทิ กระทิง ช้าง หมี กวาง หมูป่า นกเงือก แวะเวียนมาโชว์ตัวให้นักท่องไพรเห็นกันบ่อยๆ ยิ่งในช่วงบ่ายแก่ๆของทุกวัน เก้ง กวาง จะออกมาเล็มหญ้าอ่อนที่เพิ่งระบัดใบ หากโชคดีอาจได้เห็นกระทิงเขางาม เดินทอดน่องให้ยลโฉมกันใกล้ๆ ที่นี่ยังเป็นจุดดูผีีเสื้อหลากสายพันธุ์ เดินไปทางไหนจะมีผีเสื้อฝูงมหึมาหมื่นสีพันลายหลายแสนตัว บินฉวัดเฉวียนโฉบเฉี่ยวไปมา จนผู้มาเยือนขนานนามว่า“บัตเตอร์ฟลาย โรด” หรือถนนผีเสื้อ
ชาวโนนดินแดง พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยอาหารที่สด สะอาด โดยเฉพาะปลาสดๆจากเขื่อนลำนางรอง และผักปลอดสารพิษจากไร่ ที่นี่มีอากาศเย็นสบายเพราะเป็นพื้นที่ราบสูง และอยู่ในเขตช่องเขามีลมพัดผ่านตลอดเวลา ยิ่งฤดูหนาว หนาวเหน็บไม่แพ้ทางภาคเหนือ เหมาะเป็นสถานที่พักผ่อนเพื่อคุณภาพชีวิต จึงอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความสงบ และอยากใกล้ชิดกับธรรมชาติ ให้ลองมาสัมผัสโนนดินแดงสักครั้งแล้วจะประทับใจ
อยากรู้ที่พักที่กินถิ่นโนนดินแดง ถามได้ที่ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ โทร.044-620171 หรืออยากลุยป่าละเลิงร้อยรู ขอข้อมูลที่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดบุรีรัมย์ โทร.044-611102 รับรองจะได้สัมผัสชีวิตรื่นรมย์สมใจ.
Dust In The Wind