พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้การกองปราบปราม คนที่38
ถือเป็นผู้การกองปราบปรามที่โตมาจากงานสอบสวนคนที่2ติดกันต่อจาก พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ที่ขึ้นเป็นรองผบช.ก.ในคำสั่งเดียวกัน
ท่องปทุมวันจะพาไปรู้จักผู้การกองปราบปรามคนนี้ให้มากขึ้น เส้นทางพนักงานสอบสวนที่มานั่งเก้าอี้นายพลที่มีอำนาจหน้าที่คับประเทศมีที่มาอย่างไร
จากเด็กหนุ่มลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวเกษตรกรชาวลาดยาวนครสวรรค์ เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนชาย–โรงเรียนนครสวรรค์ โรงเรียนประจำจังหวัด เห็นพี่ๆนักเรียนนายร้อยตำรวจเข้ามาแนะแนวที่โรงเรียน เลยมุ่งมั่นตามฝัน สอบเข้าเตรียมทหาร รุ่น 30 นรต.รุ่น 46
ต้นทางพงส.เจออำนวย นิ่มมะโน
จบปี 2536 ลงที่ สน.ดินแดง มาเจอ พ.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน เป็น สว.หัวหน้างานสอบสวน พี่มานะ เผาะช่วย เป็น สว.ชุดผม เริ่มชีวิตราชการเหมือนกับว่า พี่อำนวย พาเข้าสู่วงการสอบสวน ตอนนั้นมีคดีสำคัญก็ไปช่วยเขาทำ มีโอกาสได้ทำ
เริ่มจากคดีฆ่าแพทย์หญิงนิชรี มะกรสาร สุขุม เชิดชื่น จ้างยิง คดีโป๊ะล่มพรานนก ก็มีโอกาสไปช่วยเขา ตามไปเป็นมือพิมพ์ เหมือนกับเป็นมือทำงานตามนายไปสอบ เราเหมือนเป็นเด็กใหม่ นายให้โอกาส ก็ทำไปเรื่อย
ผู้การกองปราบฯย้อนความหลังเส้นทางสีกากี
หลวงตาล้วน หิ้วเข้าบช.ก.
ทำไปเรื่อยๆ เริ่มมีประสบการณ์ พอมีคดีสำคัญ ก็เริ่มจะเรียกเราแล้ว เริ่มอยู่ในวงการแล้ว ตั้งแต่ ร.ต.ท.จากดินแดง อยู่ที่เดียวเลย น่าจะ 7-8 ปี แล้วย้ายมาอยู่ใน บช.ก.ตามนายล้วน (พล.ต.อ.ล้วน ปานรสทิพ)ที่ไปเป็น ผบช.ก.
เป็นรองสว.ผ.4กก.2ป.
เจอกันเพราะไปทำคดีสำคัญอยู่ที่นครบาล ตอนนั้น ท่านล้วน เป็น รอง ผบช.น.ดูสอบสวน พอท่านได้เป็น ผบช.ก. ท่านชวนมา เราก็บอกว่า แล้วแต่นาย เราเป็นเด็กไม่คิดอะไร ประสบการณ์ก็ยังไม่มาก ก็ตามนายล้วนมาอยู่ บช.ก.มาลงที่กองปราบ เป็น รอง สว.ผ. 4 กก.2ป. สมัย พี่ประวุฒิ วงศ์สีนิล เป็นสว.ผ.4 ประมาณปี 2542
เข้าตาผู้ใหญ่ได้ขึ้นสารวัตร
พอ ท่านล้วน เกษียณ เป็นผู้ช่วยนายเวรท่านบุญชัย ชื่นสุชน มาช่วยทำคดีห้างทอง มีการรื้อฟื้นคดี สมัยท่านโกสินทร์ หินเธาว์ มีพี่อำนวย มาด้วย ก็ทำกันเป็นทีม ตามคำสั่ง ตร.ผู้บังคับบัญชาเห็น ขยันขันแข็งดี มาอยู่กองปราบเลยละกัน จากผู้ช่วยนายเวร ก็มาอยู่กองปราบ อยู่แผนก 3 กอง 5 ตอนนั้น พี่แหม๋ว รณศิลป์ ภู่สาระ เป็น ผกก.
เป็นนายเวรบิ๊กย้อย
หลังจากนั้นไปอยู่ สศก.ไปเป็น สว.กก.3 อยู่กับท่านรุจิรัตน์ หรุ่มบุญเรือง จากสศก.ก็ไปขึ้น รอง ผกก.ฝ่ายอำนวยการ ที่ บช.ก.เกี่ยวกับคดีวินัย ย้ายมาอยู่ปดส. เป็น รอง ผกก.5 ขึ้นเป็นนายเวร พี่ย้อย (พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา)ตอนท่านเป็นที่ปรึกษา สบ 10
ชีวิตราชการอยู่2บช.หลัก
จากนายเวร ไปเป็น ผกก.พลับพลาไชย 1 ชีวิตก็อยู่ 2 หน่วย คือ บช.น.กับ บช.ก.ประมาณครึ่งๆ ผกผันไปแค่ปีเดียว ไปเป็น ผกก. ที่เมืองนนทบุรี ปีเดียว กลับมาเป็น ผกก.ดุสิต ขึ้น รองผู้การนครบาล 5 อยู่ 2 ปี ย้ายมาเป็นรองผู้การ อคฝ. รองผบก.ป. แล้วขึ้น ผบก.ป.
ซึมซับงานสอบจากบิ๊กนวย
ถ้าพูดถึงสิ่งที่ได้ นับตั้งแต่ท่านอำนวย ได้เกี่ยวกับประสบการณ์ด้านการสอบสวน จะได้เยอะ เรื่องเทคนิค วิธีการ ลูกล่อลูกชนในการสอบสวน เรื่องการทำงานที่จริงจัง รวดเร็ว บุคลิกพี่อำนวยจะทำงานเร็ว ละเอียด ข้อกฎหมายเป๊ะ นั่นคือสิ่งที่เราซึมซับจากนาย
นายล้วนให้เรื่องความตงฉิน
ส่วนนายล้วน เราได้เรื่องความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา นายพูดไม่เยอะ แต่ทุกคนจะรู้ว่านายเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก เขาจะเรียกว่าหลวงตา ด้วยบุคลิก นายจะเป็นคนนิ่งๆ แต่เป็นคนที่ตรงไปตรงมา คือด้วยความนิ่ง ความนุ่มของแก ไม่มีใครกล้ายุ่งกับแก ทุกคนก็จะเกรงใจ
บิ๊กย้อยสอนให้ฟังลูกน้อง
ไปอยู่กับท่านย้อย เป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นลูกน้อง รับฟังทุกความคิดเห็น นายจะพูดเสมอว่า ทุกเรื่องคุยกับเราได้หมดนะ คือ ไม่เคยเลยที่จะอารมณ์เสีย ไม่เคยเลยที่จะดุ ด่า ต่อว่า ลูกน้อง แล้วเป็นคนที่ความรู้ ความสามารถหลายๆอย่าง ครบเครื่องเลยแหละ
เป็น ป.1เหนือความคาดหมาย
ความรู้สึกที่มาเป็น ผบก.ป.ถ้าพูดจริงๆ เหนือความคาดหมายมาก ไม่คิดฝันว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสนั่งในตำแหน่งนี้ เป็นดุลพินิจผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้วเห็นว่าเราเหมาะสมที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ ก็กราบขอบคุณผู้บังคับบัญชา ที่ไว้วางใจให้เราทำ
เหมือนโจทย์ที่ท้าทาย
ถามว่ากดดันไหม จะบอกไม่กดดันก็คงไม่ใช่ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าคนอื่นมากดดันเรานะ เรากดดันตัวเอง เพราะเราก็กลัวว่า จะทำได้ดีเท่ากับผู้บังคับบัญชา หรืออดีตผู้บังคับบัญชาของเราไหม ที่เขาสร้างชื่อเสียงไว้
ก่อนนี้ทำเกิน100ทุกตำแหน่ง
แต่ถ้าคนที่รู้จักตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนอายุขนาดนี้ 50 กว่า จะรู้ว่าเวลาผมทำอะไรผมจริงจัง ในทุกตำแหน่ง ที่ผมไปอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นั้น ผมทำเต็มที่ เกิน 100 ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ใต้บังคับบัญชาจะทราบดี บุคลิกของเราเวลาทำงาน เราจะเป็นอย่างนั้น
ความท้าทาย มันก็อยู่ที่ว่า เราอาจจะไม่ได้ถนัดงานทุกด้าน แต่ก็อยู่ที่เราจะบริหารจัดการคน เหมือนว่าเราเป็นผู้บังคับบัญชา ต้องรู้จักที่จะบริหารจัดการคน
เบาใจไปเปลาะเพราะบิ๊กก้อง
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเบาใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่าน ผบช.ก้อง วางแนวทางไว้ค่อนข้างดีมากแล้ว หมายถึงว่า ท่านคัดคนที่มีคุณภาพ เลือกคนที่เก่ง คนที่ดีเข้ามาอยู่ในหน่วย เพื่อพัฒนาต่อยอดให้มันดียิ่งขึ้น ฉะนั้นการทำงานของเรา เบาใจไปเปลาะหนึ่ง เราก็มีแค่ว่า จะเติมเต็มในส่วนที่ยังคิดว่าน่าจะต้องเติมเข้าไป
ย้ำยังเดินตามนโยบายเดิม
แต่กรอบนโยบายยังจะเดินในทิศทางเดิม เหมือนที่ท่าน ผบช.ก.วางไว้ ตั้งแต่สมัยท่าน ผบช.ก.ก้อง หรือท่านรองฯ สุวัฒน์ ที่เป็นผู้การก่อนผม ผมก็คงจะเดินตามแนวทางเดิม คือเดินในเส้นทางนั้นต่อไป เป้าหมายสูงสุดคือให้เป็นหน่วยงานที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับประชาชนได้อยู่ ตามที่ประชาชนคาดหวัง อยากจะให้เหมือนเดิม
เดินหน้าปราบผู้มีอิทธิพล
จะเห็นว่า ในวันที่ท่านรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 มีการปูพรมระดมตรวจค้นอาวุธปืนทั่วประเทศ 126 จุด นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า กองปราบหรือหน่วยงานต่างๆในสอบสวนกลาง พยายามที่จะช่วยกันทำงาน สนธิกำลังกัน เพื่อจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อย่างจริงจัง
เตือนเจ้าพ่อเจ้าแม่ระวังตัว
บอกได้เลยว่า ไม่ใช่แค่นั้น นั่นคือจุดเริ่มต้น แต่กำลังจะส่งสัญญาณให้เห็น ว่ากำลังจะมีแบบนี้อย่างต่อเนื่องต่อ ฉะนั้นใครที่คิดว่าตัวเองยังเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ให้พึงระวังตัวไว้ว่า ถ้ากระทำความผิดเราก็คงไม่ละเว้น
อย่างช่วงนี้ใกล้จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น เราก็ต้องลงไปหาข่าว ไปปราม ก็มีแผนที่จะดำเนินการ มีเป้า ส่วนความเป็นห่วงในพื้นที่ไหนนั้น ตอนนี้จับตาอยู่ทุกที่
ตามรอยวิสัยทัศน์2บิ๊ก
เหมือนวิสัยทัศน์ของท่าน ผบ.ตร.ที่ว่าเป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมาย ที่นำสมัยในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา ในส่วนของ ผบช.ก.ท่านจิรภพ ท่านก็บอกว่า มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน ตรงนี้เป็นวิสัยทัศน์ตั้งแต่สมัยท่านเป็นผู้การแล้ว
นำปรับใช้เป็นวิสัยทัศน์ตัวเอง
ผมก็เลยนำเอาวิสัยทัศน์ของทั้งสองท่าน เอามาเป็นหลักในวิสัยทัศน์ตัวผมเองในฐานะที่เป็น ผบก.ป.ผมกำหนดวิสัยทัศน์ของผมไว้ว่า ยึดมั่นธรรมาภิบาล ยกระดับมาตรฐาน เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน
เพื่อความเป็นมืออาชีพ
ผมมองว่าการจะเป็นมืออาชีพที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ต้องมีการปกครองการบริหาร จัดการ และการควบคุมดูแลในทุกด้าน มีครรลองครองธรรม คือหลักการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล ก็คือกู๊ดโกเวอร์แนน
ยึดมั่นธรรมาภิบาล
ได้แก่ หลักประสิทธิผล หลักประสิทธิภาพ หลักการตอบสนอง หลักภาระความรับผิดชอบ หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักการกระจายอำนาจ หลักนิติธรรม หลักความเสมอภาค และหลักมุ่งเน้นฉันทามติ
พอเรายึดถือหลักการดังกล่าว ก็ทำให้เราเป็นมืออาชีพไปโดยปริยาย เพราะการบริหารจัดการที่ดี มันเป็นหลักการทั่วไปอยู่แล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นการยึดมั่นธรรมาภิบาล ก็คือวิสัยทัศน์ข้อแรก
ยกระดับมาตรฐาน
วิสัยทัศน์ข้อ 2 คือยกระดับมาตรฐาน คำว่ามาตรฐาน คือเป็นสิ่งประชาชนทั่วไปเขายึดถือ เป็นที่รับรองว่าดีแล้ว เยี่ยมแล้ว แต่เรายกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้นกว่ามาตรฐานที่ทุกคนยอมรับ เพื่อให้เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมาย ที่นำสมัยในระดับที่ได้มาตรฐานสากล ตามวิสัยทัศน์ที่ท่าน ผบ.ตร.ให้นโยบาย เพิ่มขึ้นไป
เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาปชช.
สุดท้ายเนี่ย ทุกอย่างที่เราทำไว้ เป็นวิสัยทัศน์ที่ผมกำหนด คือเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน คำว่าเชื่อมั่น คือเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข ส่วนคำว่า ศรัทธา คือความเชื่อหรือความเลื่อมใส คืออยากจะบอกว่า ทุกสิ่งที่เราทำ จุดมุ่งหมายสูงสุด คืออยากให้ประชาชนรู้สึกมั่นใจในการทำงานของเรา ในฐานะเป็นตำรวจหน่วยงานที่พึ่งสุดท้าย
ปลื้มคนตามเพจ1ล้านกว่า
ตอนนี้หน้างานกองปราบ จะเน้นผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง หรือเกี่ยวกับอะไรที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็จะเข้าไปช่วยเหลือ ตอนนี้มีเฟซบุ๊ก เพจกองปราบ มีคนติดตามประมาณล้านกว่าๆ เริ่มมีชาวบ้านแจ้งข้อมูลทางอินบ็อก ก็พยายามจัดคนเข้าไปรองรับ ตอบข้อปัญหา รับเรื่องร้องเรียให้ได้ทุกเรื่องตอนนี้มันเริ่มเข้ามาเยอะ
เหมือนกับเขาไว้ใจเรา พอเขาไว้ใจ เขาก็ส่งข้อมูลมา เราก็ต้องตอบสนองโดยการทำงานที่รวดเร็ว ตอนนี้อยู่ระหว่างจัดคนเพิ่มเติมเข้าไปในเรื่องของข้อกฎหมาย
ช่องทางสื่อสารชาวบ้าน
อย่างที่บอก ผบช.ก.ท่านเน้นอยากจะให้ประชาชนสามารถ สื่อกับเราได้ง่ายขึ้น เราก็สื่อกับประชาชนได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นต่อไปใครไม่ได้รับความเป็นธรรม เราจะดำเนินการให้ ภาพรวมการแจ้งเข้ามามีทุกรูปแบบ รวมถึงเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องคดีความอะไรด้วย
แก้ไข–ประสานหน่วยรับผิดชอบ
อะไรที่เราแก้ไขปัญหาได้ เราก็จะแก้ให้ หรือถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นเขารับผิดชอบอยู่แล้ว เราเร่งรัดได้ เราก็จะประสานเร่งรัดให้ ตอนนี้มีอยู่1,014,370 คน ล่าสุด ที่เช็คเมื่อเช้านี้(4พ.ย.) ตอนนี้ใช้กำลังก็คือมีกองกำกับการสนับสนุน รับผิดชอบอยู่
ต้องตอบสนองปชช.ให้ได้
พยายามจะทำ เพราะเรามองว่า เมื่อประชาชนเขาเชื่อมั่นเรา เราก็ต้องตอบสนองเขาให้ได้ ไม่งั้นเขาส่งมา แล้วไม่มีคนอ่าน มันก็ไม่ทูเวย์ ไม่ตอบโจทย์ ผมว่าเดินมาถูกทางแล้ว ทำให้ชาวบ้านเขาเชื่อมั่นเป็นล้านคน ก็น่าจะดี
เตือนภัย–ปชส.ผลงาน
คือในเพจนี้ คือหนึ่งเรื่องการประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติงานของเราด้วย อีกส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องการผลิตคอนเทนต์เกี่ยวกับเรื่องการแจ้งเตือนภัยต่างๆ เป็นการสอดแทรกไปทั้งสองส่วน ก็จะได้ตรงนั้น
เติมเต็มสิ่งที่ไม่ครบถ้วน
สิ่งที่ผมพยายามขับเคลื่อนอยู่ตอนนี้ หลังจากรับตำแหน่ง คือพยายามเติมเต็มในส่วนที่คิดว่าควรจะเติมเต็ม คือทำทุกอย่างให้มันเป็นระบบเป็นระเบียบมากขึ้น อะไรที่ระเบียบกำหนดไว้ต้องทำ เราจะไปดูว่า ทำครบถ้วนหรือไม่
สอนลูกน้องในสิ่งที่ไม่รู้
ทุกอย่างวางสเต็ปไว้ อะไรที่ลูกน้องไม่รู้ ก็อยากจะเติมเต็ม เช่น มีคดีถูกฟ้องศาลปกครอง จะแก้ต่างอย่างไร มีคดีถูกฟ้องอาญา จะทำอย่างไร ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการสอบสวนทางวินัย หรือสอบสวนข้อเท็จจริง สืบสวนข้อเท็จจริง จะต้องทำอะไรบ้าง ต้องทำแบบไหน
ตรงไปตรงมาผิดคือผิดถูกคือถูก
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะยืนยัน ทั้งต่อพี่น้องประชาชน ทั้งต่อผู้บังคับบัญชา ก็คือเราสืบสานกันมาแบบนี้ ไม่มีวิ่งเต้น ก็คือตรงไปตรงมา ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เราต้องยึดหลักตรงนี้ไว้ให้ได้ ถ้าเรายึดตรงนี้ไม่ได้ ความเชื่อมั่นก็จะไม่มี
แต่ไม่ใช่ว่าผู้การกองปราบฯจะโตมาจากสายสอบสวนอย่างเดียว เมื่อระหว่างวันที่ 4 ก.ย.-26 ก.ย.64 พล.ต.ต.มนตรี ได้ไปอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจระหว่างประเทศ ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนรับตำแหน่งด้วย เรื่องนี้ ผู้การมนตรีเล่าว่า
บินสหรัฐฝึกเข้ม หลักสูตร ITAT
เป็นหลักสูตรเฉพาะกิจระหว่างประเทศ เรียกย่อๆ ว่า ไอแทท (ITAT)ไปอบรมที่ศูนย์ฝึกอบรมการ์เดี้ยนเซ็นเตอร์ รัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ เป็นหลักสูตรของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ หรือเรียกว่า โฮมแลนด์ซีเคียวริตี้ เป็นกระทรวงหนึ่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เป็นการฝึกการทำงานเฉพาะกิจระหว่างประเทศ
กองปราบฯอบรม14นาย
เรามีการทำงานร่วมกันระหว่างเขากับเรา ในบางเคส ที่เกี่ยวกับประเทศของเขา อาจจะเป็นอาชญากรรมที่มีการกระทำผิดระหว่างสองประเทศ ที่อาจจะต้องทำงานร่วมกัน คือเฟ้นคนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วไปฝึกมีอัยการไปด้วย 1 ท่าน มีตำรวจกองปราบไป 14 ท่าน ปอท.1 ท่าน ปคบ.1 ท่าน เจ้าหน้าที่ทีทีไอยู 2 ท่าน ไปฝึกด้วยกัน ประมาณ 3 สัปดาห์
เมื่อถามว่าในฐานะที่โตมาจากงานสอบสวน สิ่งที่อยากจะฝากถึงรุ่นน้องในสายสอบสวนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ผู้การมนตรีบอกว่าเป็นคำถามที่ดีนะ ผมก็ยังหาโอกาสที่จะพูดเหมือนกัน
โตมาได้เพราะถูกปลูกฝังมาดี
ขอเท้าความไปนิดหนึ่งว่า ค่านิยมของตำรวจ โดยเฉพาะนายร้อยตำรวจในอดีตมาตั้งแต่ผมจบ อันดับ 1.คือเรื่องงานสอบสวน นี่คือเรื่องจริง แล้วก็ได้รับการปลูกฝังมาตลอด ตั้งแต่อดีตผู้บังคับบัญชาก็ดี พี่เลี้ยงฝึกงานก็ดี ว่าคุณต้องไปอยู่โรงพักที่งานเยอะๆ คดีเยอะๆ จะได้เก่ง จะได้มีประสบการณ์ เราถูกสอนมาแบบนั้นสมัยผมเป็นเด็ก
ที่ไหนงานเยอะให้โดดใส่
ผมเชื่อมั่นแบบนั้นมาตลอด ทำงานมาตลอด ที่ไหนมีงานเยอะ เราก็โดดเข้าใส่เลย ช่วยกันรุม ช่วยกันทำ มันมีความสนุกสนาน ทำกันอย่างสนุกแบบพี่แบบน้อง ทำงานกันแบบทั้งวันทั้งคืน เราก็สนุกไปกับงาน แล้วเราก็ได้โอกาส
ป.ให้ความสำคัญงานสอบสวน
อย่างผม เติบโตมาได้ทุกวันนี้ ก็จากวิชานี้เลย ไม่ได้จากอย่างอื่น คือได้จากการทำงานอย่างจริงจังมาตลอด ยืนยันได้เลย ว่าทำงานแบบนี้มาตลอด ทุ่มเททุกตำแหน่งหน้าที่
อยากให้น้องๆ ที่อยู่งานสอบสวน มีกำลังใจ ผมกล้ายืนยัน ผู้บังคับบัญชาทุกระดับให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกองปราบ ให้ความสำคัญกับงานสอบสวนมาก
สืบอย่างเดียวงานไม่สำเร็จ
ทุกคดีจะสำเร็จได้ มันไม่ใช่แค่งานสืบสวนอย่างเดียว แต่สืบกับสอบ ต้องทำคู่กัน ทำแบบใกล้ชิดเลย ขาดเหลืออะไรต้องเติมเต็มซึ่งกันและกัน เหมือนจิ๊กซอว์ถ้าคุณขาดอะไร สอบปุ๊บ ขาดนี่ปุ๊บ สืบไปหามา แล้วก็สอบเอาเข้าสำนวน ที่ถูกต้อง มันก็ทำให้สำนวนสมบูรณ์ เอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ทุกคดี มันต้องเป็นอย่างนั้น
ยืนยันงานสอบสวนเติบโตได้
ยืนยันว่างานสอบสวนสามารถทำให้เติบโตได้ เมื่อเทียบเคียงกับสายงานอื่น ให้ความมั่นใจ มีคนเห็น ผู้บังคับบัญชาเห็น ประชาชนก็เห็น ถ้าเราทำดีก็มีคนชื่นชม ไม่ต้องกลัว เพียงแต่ว่า บางทีปัญหาที่เรามีบางคนร้องแรกแหกกระเชิงเพราะบางทีเรายังทำไม่ถึง ยังไม่ทุ่มเทเต็มที่
ต้องตอบคำถามนี้ก่อน
ผมจะบอกน้องๆ เหมือนเรามีคนอยู่ 10 คน ผู้บังคับบัญชาให้ความดีความชอบกับคน 10 คน แล้วคุณทำเหมือนกันหมด แล้วผู้บังคับบัญชา จะให้ใคร ผมถามกลับไปแค่นี้ คุณต้องตอบผมก่อน คุณต่างจาก 10 คนนี้ยังไง นี่เป็นคำถามผม คุณต้องตอบให้ได้ก่อน
ตอบตัวเองให้ได้ด้วย
ถ้าคุณยังตอบตัวเองไม่ได้ คุณจะมาบอกว่าผู้บังคับบัญชา ไม่ดูแล ไม่ช่วยเหลือไม่สนับสนุน ผมว่ามันก็คงไม่ใช่ คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าตอบตัวเองได้อย่างนั้น ผมว่าโอเค.นั่นหมายความว่า คุณต้องทำงานจนเห็นความแตกต่างคุณต้องสร้าง ต้องทำให้เห็นถึงความแตกต่าง หมายถึงทำในทางที่ดีนะ ไม่ใช่ไปใส่ความคนอื่นนะ ไม่ใช่
เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึงข้าราชการตำรวจ และประชาชน ผู้การมนตรีบอกว่า
ผมขออนุญาตอัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว“ ที่พระราชทานข้อคิด ข้อเตือนใจ แก่ข้าราชบริพาร และบุคคล ในขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ความว่า
” สะเจ สะรูปะภาโว สุทัศสะนี โสภะโน สุธัมโม ปะฏิรูโป
สัพเพ ชะนา จิรัฏฐิติกะกาเล ถาวะระโต กายะสุขี โหนติ มะโนรัมมา “
ถ้าหากภาพรวม สวยงาม ถูกต้อง เหมาะควร ทุกคนทุกหมู่เหล่า จะได้รับความสุขกาย สบายใจอย่างถาวร ในระยะยาว
คืออยากให้ทุกคนน้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์ท่านไปเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ผมเชื่อว่า หากพวกเราทุกคนไม่ว่าข้าราชการตำรวจ หรือประชาชน รู้จักบทบาท และหน้าที่ของตน เคารพสิทธิและเสรีภาพซึ่งกันและกัน
ซึ่งหมายความว่าให้ทุกคนช่วยกันพิจารณาปรับปรุงตนเองให้เป็นคนที่ดีแล้วสังคมและประเทศชาติย่อมจะสงบสุข เพราะการจะหวังให้ตำรวจแก้ไขปัญหาเพียงฝ่ายเดียวนั้นเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ และไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาได้หมดสิ้น
ทั้งหมดทั้งปวงนี่คือตัวตน พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้การกองปราบปราม คนที่38ครับ
กากีกลาย7/11/64