จากกรณีศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้ออกหมายจับกุมกลุ่มตำรวจและพลเรือนในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
จากการสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินจากคดีที่สน.เตาปูน ขอหมายจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ชื่อ บีเอ็นเคมาสเตอร์ ไว้และจับกุมผู้ต้องหาได้บางส่วนแล้ว จนมีการขยายผลออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจในครั้งนี้
เป็นหมายจับตำรวจ 3 นาย และพลเรือน 1 คน ส่วนนายตำรวจยศนายพลตำรวจเอกถูกออกหมายเรียกตัวเท่านั้น
เป็นที่ทราบกันโดยกว้างขวางว่านายพลตำรวจเอกก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” หรือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.แคนดิเดตชิงเก้าอี้ประมุขสีกากีนั่นเอง
ทางทนายความของบิ๊กโจ๊ก ก็ได้แถลงว่าศาลอาญาพิจารณายกคำร้องไม่ออกหมายจับบิ๊กโจ๊ก ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ พร้อมยืนยันว่าศาลไม่ได้ออกหมายเรียกบิ๊กโจ๊กแต่อย่างใด
ทำให้มองว่าที่มีการขอให้ศาลออกหมายจับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ในช่วงนี้
นั่นเป็นเพียงต้องการ “ดิสเครดิต” รอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับที่ 1 ที่จะก้าวขึ้นเป็นผบ.ตร.ในโอกาสต่อไป
สรุปได้ประเด็นหนึ่งว่า กรณีข่าวฮอตนี้ ไม่พ้นดราม่าขัดแข้งขัดขากันเองในแวดวงสีกากีเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอนดังจะเห็นได้ชัดเจนจากกระแสข่าวออกมาถี่ยิบในช่วงนี้
นี่แหละเมืองไทย ทุกวงการมีเรื่องดราม่าขัดขากันเองไปหมด ไม่ว่าวงการบันเทิงดารา นักการเมือง แพทย์ ครูอาจารย์ พ่อค้าแม่ค้า ผัวเมียตีกันยังต้องออกโซเชียล กะเทยทะเลาะวิวาทฟาดกันบันลือโลก คนดูแลป่าที่ดินก็ยังขัดแย้งกัน
นั่นเพื่อประโยชน์อะไร ทั้งที่จุดมุ่งหมายพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศประชาชนมิใช่หรือ
เหมือนทุภาษิตที่ติดหูตราตรึงในความทรงจำว่า “ความคิดเห็นไม่ตรงกัน การพนันจึงเกิดขึ้น”
บอกให้รู้ว่า “ความขัดแย้ง” คือพลังขับเคลื่อนของสังคมนั่นเอง หากคนคิดอะไรเหมือนกัน ตามกันไปหมดทุกเรื่อง มันก็คงสงบเรียบร้อยดีหรอก แต่คงไม่มีความเปลี่ยนแปลง
เราจึงมักได้เห็นได้ยินข่าวดราม่ากันทุกเรื่อง
เนื่องจากอำนาจการควบคุมสื่ออยู่ในมือของเรานั่นเอง สื่อโซเชียล สามารถสร้างและปล่อยข่าวได้ง่ายด้วยนิ้วมือเดียว
กระแสข่าวที่ปรากฏตามหน้าสื่อหลัก สื่อโซเชียล ก็เพียงแค่คลื่นความขัดแย้งซัดเข้าหาฝั่ง รอวันเวลาที่จะสงบจางหายไป คลื่นลูกใหม่ก็จะเกิดตามมา
ถึงบทสรุปก็คือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
ดอนรัญจวน 13/3/2567