รอบนี้มารีวิวที่พักแบบวันสต๊อปเซอร์วิส แบบอิ่มท้อง อิ่มตา อิ่มใจ สุดประทับใจในจุดเดียว
ปลายฝนต้นหนาวยังไม่รู้จะไปไหน อยากสัมผัสไอหนาวเอนกายอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก ให้สารเอ็นโดรฟินในร่างกายได้สูบฉีดบ้าง
ในระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แล้วนกในหัวก็นึกถึงเขาใหญ่ขึ้นมาทันที แต่จะพักที่ไหนดีล่ะ นึกอะไรไม่ออกให้ถามอาจารย์กูเกิล
ว่าแล้วคลิกเลย เจอในห้อง pantip แนะนำ บ้านภูนรินทร์รีสอร์ท เขาใหญ่ รีสอร์ทวิว 360 องศา บนเนินเขาตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สู่วังน้ำเขียว
เป็นจุดที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อจากปากช่อง วังน้ำเขียว และเข้าสู่ อ.เมือง จ.นครราชสีมาได้
ที่สำคัญ โอบล้อมด้วยทะเลหมอก ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 200 กม. ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯแค่ 2 ชม.เศษเท่านั้น
สเป็กที่พักโดนใจอย่างจัง อะดรีนาลีนในตัวพุ่งพล่าน เรากดหาข้อมูลในเว็บไซต์ www.banphunarin.net ทันที!!
ในรีสอร์ทมีที่พักมีทั้งหมด 4 หลัง (11 ห้อง) และ ห้องอเนกประสงค์สำหรับจัดประชุมหรือเปลี่ยนเป็นห้องพักรวมได้ และในฤดูหนาวยังมีเต็นท์หลังใหญ่ห้องน้ำส่วนตัวให้พักด้วย
เราเลือกห้องอมรเบิกฟ้า เป็นหลังเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (พักได้2คน) วิว 360องศา เป็นบ้านในตำนานที่ใครๆก็อยากมาพัก
ราคาที่พักวันจันทร์–ศุกร์ 3,000 บาท ส่วนเสาร์–อาทิตย์ 3,500 บาท แต่ถ้าไม่ใช้แอร์แจ้งพนักงานได้เลยค่ะ รีสอร์ทจะลดราคาให้คืนละ 1,000 บาท
เราเลือกแบบไม่ใช้แอร์ เพราะอากาศเย็นกำลังดีประมาณ 18 องศา เราไปเป็นครอบครัว มีพ่อแม่ลูก(เด็กอายุ 10 ขวบ) บวกเพิ่มอีก 500 บาท รวมราคาที่พักต่อคืน 2,500 บาท
ลืมบอกว่า ราคานี้รวมเซ็ตอาหารเย็นและอาหารเช้าของทุกคนเอาไว้แล้ว
เราว่าราคานี้ไม่แพงนะ ถ้าเทียบกับที่พักตามแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน และเมื่อเทียบกับวิวทะเลหมอก และอาหารอีก2มื้อ จัดว่าคุ้มเลยล่ะ
ถึงวันเดินทาง ล้อหมุนกันแต่เช้าตรู่ มาถึงปากทางเขาใหญ่จากถนนมิตรภาพ วิ่งยาวเข้ามาผ่านจุลดิศเขาใหญ่ ถึงป้ายบอกทางแยกซ้ายเข้าวังน้ำเขียว
หลังจากเลี้ยวเข้ามา ขับตามทางเรื่อยๆผ่านคีรีมายารีสอร์ทอีกพักใหญ่ๆ จะเจอป้ายรีสอร์ทมาเรื่อยๆ
แต่ก่อนถึงรีสอร์ทประมาณ 1 กิโลเมตร จะเป็นถนนดินลูกรังข้างทางเป็นไร่ข้าวโพด ในการมาครั้งแรกสารภาพว่าใจหายวาบ นึกไม่ออกเลยว่าข้างหน้าจะเป็นรีสอร์ทได้ยังไง
แต่เรายังเชื่อมั่นในรีวิวค่ะ เดินหน้าต่อไป และแล้วก็ถึงที่หมาย
ทางเข้าเป็นทางวนขึ้นบนภูเขาลูกเล็กๆ มีต้นไม้ร่มรื่น ที่ถูกจัดระเบียบและเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างดี
เราหยุดรถตรงรีเซฟชั่นเพื่อเช็กอิน ณ จุดนี้เหมือนอยู่คนละโลกกับถนนดินลูกรังเมื่อสักครู่เลย รีวิวเชื่อถือได้ ไม่หลอกดาว!!
จากนั้นเราขับรถวนขึ้นเขาต่อไปเพื่อเก็บกระเป๋าสัมภาระในห้องพัก มองจากหน้าต่างมันว้าววววมากค่ะ
เป็นพาโนรามาเลย ใช้สายตาแพนไปเรื่อยๆให้เต็มอิ่ม ก่อนหยิบมือถือออกมา ตั้งเป็นโหมดพาโนรามา
มือกดปุ่มชัตเตอร์แล้วค่อยๆกวาดจากซ้ายไปขวา เพื่อเก็บภาพประทับใจ พร้อมๆกับสูดโอโซนลึกๆให้เต็มปอด
ในห้องพักตกแต่งเรียบเท่ ผนังปูนเปลือยอินเทรนด์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งทีวี ตู้เย็น น้ำอุ่น ซึ่งเราคิดถูกแล้วที่ไม่ใช้แอร์ เพราะลมพัดมาวูบเดียวหนาวสั่นเลยค่ะ ?
ห้องอมรเบิกฟ้า เป็นห้องที่อยู่บนสุดของรีสอร์ท อยู่สุดทางของถนนทางขึ้น ที่เชื่อมต่อไปยังบ้านพักของเจ้าของรีสอร์ทที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกนิดเดียว
เดินลงมาจากห้องพักจะเป็นทางลาดลงมาปูด้วยสนามหญ้าไปยังจุดแคมป์ไฟ และห้องอาหารด้านล่าง
ตรงนี้มีสไลด์เดอร์หญ้าให้เด็กๆเล่นกันสนุกสนานด้วยค่ะ วันนี้ลูกชายเราได้เพื่อนใหม่รุ่นราวคราวเดียวกันด้วยล่ะ เด็กๆมาจากกรุงเทพฯเหมือนกัน ส่วนพนักงานที่นี่บริการดีและสุภาพดี
พูดถึงเมนูและรสชาติอาหารเราให้ผ่านค่ะ เช็ตอาหารเย็นเป็นกับข้าว 5 อย่างตามจำนวนคนพัก
มีเมนู ต้มยำกระดูอ่อน, น้ำพริกปลาทู, ผัดผัก, ไข่เจียว และ ปลาทอดน้ำปลา
แต่สำหรับเรา3คนถือว่าเยอะมาก พ่อแม่ลูกกินไม่หมดค่ะ ส่วนอาหารเช้าเป็นเซ็ต มีสเต็กหมู ไข่ดาว กับข้าวต้มซี่โครงหมู
เราใช้เวลา 2 วัน 1 คืน กับการดูดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า และตื่นเช้าเพื่อเก็บภาพทะเลหมอกที่รายล้อมอยู่รอบตัว
คอนเฟิร์มว่าสวยมากค่ะ ไม่นานนักก็ถึงเวลาเช็กเอาท์ในตอนสายแบบยังอาลัยอาวรณ์
บรรยากาศดีๆแบบนี้ บอกเลยว่าต้องมาซ้ำอีกให้ได้ หนาวหน้าเจอกันแน่นวลจ้า ‘ภูนรินทร์’ !!
ปร์วีร์28/7/62