วันที่ 4 พ.ค.2566 ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ม.4 ต.คลองใหญ่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตม.จว.จันทบุรี นำโดย พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผกก.ตม.จว.จันทบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.ศวัส โชติรณพัส , พ.ต.ท.ธรรมม์ยุรา สุรัติสุพพัต รอง ผกก.ตม.จว.จันทบุรี , พ.ต.ท.นิพนธ์ เรืองสม , พ.ต.ท.ฉัฐเมศร์ จารุเรืองพงศ์ สว.ตม.จว.จันทบุรีและเจ้าหน้าที่ ตม.จว.จันทบุรี ได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โป่งน้ำร้อน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.5 จับกุม น.ส.แก้วตา อายุ 27 ปี และนายอภิชาติ อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1252/2566และ 1253/2566 ลงวันที่ 21 เม.ย.2566
ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตัวเป็นคนอื่น,ร่วมกันทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
ตม.จว.จันทบุรี ได้รับการประสานจาก ตำรวจ บก.สอท.5 ว่าผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ทั้งสองรายที่ก่อเหตุร่วมกันฉ้อโกงประชาชนไว้นั้น ได้หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณชายแดน ไทย กัมพูชา ด้าน จ.จันทบุรี เพื่อหลบซ่อนตัวจากการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่
แต่ด้วยมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนจึงต้องเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย ทางจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ม.4 ต.คลองใหญ่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี
ในขณะนั้นเจ้าหน้าตำรวจชุดจับกุมซึ่งได้วางกำลังเฝ้าติดตามอยู่แล้ว เมื่อสังเกตเห็น น.ส.แก้วตา และนายอภิชาติจึงเข้าจับกุมไว้ได้ก่อนที่จะหลบหนีไป สอบสวนรับสารภาพว่าเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริงและยังไม่เคยถูกจับตามหมายนี้มาก่อน และไม่คิดว่าการกระทำของตนนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายติอผู้อื่นเป็นจำนวนมากขนาดนี้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิพัทฒ์ สัจจพันธ์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.ตม.3 สั่งกำชับให้ ตม.จว.จันทบุรี เพิ่มความเข้มงวดกวดขัน ตรวจสอบบุคคลที่มีหมายจับของทางการ ที่เดินทางเข้า ออก บริเวณชายแดนประเทศไทยติดต่อกับประเทศกัมพูชาให้ทำการสืบสวนหาข่าวเฝ้าระวังผู้ต้องหาตามหมายจับในพื้นที่
พร้อมทั้งแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนรวมถึงเยาวชนรู้เท่าทัน ว่าหากรับจ้างเปิดบัญชีม้า นั้นเป็นความผิดฐานร่วมกันกระทำความผิด เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด หรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ทั้งยังมีความผิดฐานฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542ซึ่งอัตราโทษสำหรับความผิดฐานฟอกเงินนั้น มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 10,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. 2542