ตำรวจท่องเที่ยวเริ่มขยับ หลังคาดการณ์ปีหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทะลักเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น กางแผนดูแลนักท่องเที่ยวผ่านแอปพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ พุ่งเป้า 4 จังหวัดหลักบวกอีก 1 อำเภอ กรุงเทพฯ เชียงใหญ่ ภูเก็ต ชลบุรี และเกาะสมุย จับตาเป็นพิเศษ เพราะปัญหาที่เกิดกับนักท่องเที่ยวแต่ละแห่งแตกต่างกันตามภูมิประเทศและชุมชน
พล.ต.ท.สุคุณ พรหมมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) ควบคุมการดูแลนักท่องเที่ยวทั้งไทยเทศทั่วประเทศ บอกว่า
หลังเปิดประเทศ สถิติการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น ตั้งแต่มกราคมจนถึงเดือนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามา 8,820,000 คนแล้ว เป้าของรัฐบาลคือ 10 ล้านคน ในขณะที่ปี 2563 มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 6,702,396 คน และในปี 2564 มีเพียง 427,869 คนเท่านั้น
ข้อมูลสถิติของนักท่องเที่ยวจะพบว่า มีจากชาติต่างๆ เข้ามาหลากหลาย แต่ส่วนมากจะเป็นชาติเพื่อนบ้าน มีมาเลเซียเป็นอันดับ 1 อินเดียมาที่สอง และลาว กัมพูชา สิงคโปร์ ตามลำดับ
ส่วนทางยุโรปมีอังกฤษเข้ามามากที่สุด ตัวเลขใกล้เคียงกับนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐอเมริกา มีเยอรมันมาหลัง
จากข้อเท็จจริง จำนวนที่เดินทางเข้ามานั้นมีนักท่องเที่ยวทั้งที่มีคุณภาพและไม่มีคุณภาพเข้ามาสร้างปัญหาคละกันไปตามสัดส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยว ต้องมีการเตรียมการในเรื่องของการดูแลนักท่องเที่ยว ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย การบริการ ผ่านความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ
พล.ต.ท.สุคุณ กล่าวต่อว่า
เริ่มมีการจัดรูปแบบของสายตรวจ มีทั้งสายตรวจจักรยาน จักรยานยนต์ รถยนต์ ขณะนี้มีแทบทุกจังหวัดๆ ละ 2-3 หน่วย เพื่อเข้าไปถึงการตรวจในพื้นที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกับ BCG ในเรื่องของนโยบายสีเขียว ที่ต้องการเข้าถึงธรรมชาติ
ตำรวจกำลังเร่งจัดการเรื่องการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะโดนกลุ่มแท็กซี่ สามล้อ หลอกพาไปซื้อทัวร์ หลอกพาไปตัดสูท หลอกไปร้านจิวเวลรี่ เรียกค่าโดยสารเกินราคา พวกนี้เริ่มกลับเข้ามาในระบบหลังเปิดประเทศ ถือเป็นการประทุษร้ายนักท่องเที่ยว
ตำรวจท่องเที่ยวกำลังร่วมกับตำรวจท้องที่ และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แก้ปัญหาทั้งการเตือน ติดป้ายประกาศ ประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการตรวจร่วม หรือเข้าไปตรวจค้นจับกุม
ทางหนึ่งที่แก้ปัญหาคือ ศูนย์ตำรวจท่องเที่ยว โทร 1155 คือฮอตไลน์สายด่วน เดิมมี 5 ภาษา จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี และรัสเซีย ขณะนี้เพิ่มอีก 3 ภาษา คือ ภาษาอารบิก อาหรับ และอินเดีย เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวที่ติดต่อเข้ามา
ขณะเดียวกันกำลังพัฒนาแอปพลิเคชั่น Tourist police I lert u โหลดได้ทั้งระบบแอนดรอยด์ และไอโอเอส นักท่องเที่ยวสามารถแชตข้อมูลแบบสองทางเพื่อส่งภาพหรือความผิดปกติของสถานที่ต่างๆมายังตำรวจท่องเที่ยวได้ หรือใช้ร่วมกันกับ 1155 ก็ได้
ระหว่างสื่อสารกันจะปรากฏพิกัดของนักท่องเที่ยวเพื่อตำรวจไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที ไม่ว่าจะในฐานะผู้เสียหาย หรือจะสอบถามข้อมูลให้บริการต่างๆก็สามารถทำได้
“เราพยายามใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพราะว่าการเพิ่มกำลังพล คงไม่เป็นประโยชน์ด้านเดียว มันต้องใช้เทคโนโลยี ทุกวันนี้เราติดป้ายโฆษณาไว้ตามสนามบิน สถานที่ต่างๆ ในเรื่องของแอปพลิเคชั่น หรือศูนย์ 1155 ที่จะติดต่อช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถโหลดแอปฯได้ทันทีที่ถือสนามบิน หรือข่องทางต่างๆทั่วประเทศ”
ผบช.ทท.กล่าวต่อว่า Tourist police I lert u ถูกพัฒนามาตลอดทั้งปี เพราะเตรียมนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้น อีกราว 3-4 เดือนจะหลายเป็นโครงการหลักของรัฐบาลโดยใช้งบประมาณของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปลี่ยนเป็นแอปฯ Thailand Tourist Police
มีการจัดตั้งศูนย์ Data Center อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อให้แอพมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำงานร่วมกันกับ โครงการระบบวิเคราะห์ฐานข้อมูลผู้ต้องสงสัย, กล้อง Body Camera ประจําตัวสายตรวจ, กล้อง licenseplate ที่ติดตั้งบนรถยนต์สายตรวจ และระบบการศึกษาระบบบูรณาการและวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดของสถานีตํารวจท่องเที่ยว รวม 33 สถานีทั่วประเทศ
“ต่อไปเมื่อมีการแจ้งเหตุผ่านแอพ Thailand Tourist Police ข้อมูลก็จะเชื่อมไปที่ 33 สถานนีตำรวจท่องเที่ยว และสถานีตำรวจท้องที่ที่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน”
พล.ต.ท.สุคุณ กล่าวต่อว่า ให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยว 4 จังหวัดหลัก คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และอีก 1 อำเภอคือ เกาะสมุย เพราะมีนักเที่ยวจำนวนมาก แต่ละแห่งก็มีปัญหาแตกต่างกันไป
เริ่มจากกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาไทยครั้งแรก ที่เลือกมาท่องเที่ยวลักษณะเขตเมือง ดังนั้น จะเริ่มเข้าพักตามโรงแรม จะพบพวกรถแท็กซี่ สามล้อ ร่วมกันกับขบวนการร้านจิวเวลรี่ ตัดสูท หลอกซื้อทัวร์ หรือหลอกลวงต่างๆ
ปัญหาเหล่านี้ตำรวจท่องเที่ยวก็ไล่เก็บข้อมูลเข้าไปตรวจสอบ ร่วมกับกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งปัญหาไกด์เถื่อนด้วย
ในขณะที่ ภูเก็ต และสมุย เน้นจับตาไปที่ปัญหาอาชญากรรมลักษณะของการเป็นชุมชน เพราะมีชุมชนชาวเลต่างๆ จำนวนมาก นักท่องเที่ยวชอบไปชมธรรมชาติแบบอันซีน เดินไปตามสถานที่ต่างๆ
อาจจะพบกับผู้ต้องหาที่เคยกระทำความผิดมาก่อน หรือพวกเสพยาเสพติด คนพวกนี้เสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมซ้ำ เช่น อาจลวนลามหรือไปถึงการข่มขืน หรือชิงทรัพย์
ปัญหาแบบนี้ตำรวจท่องเที่ยวกำลังร่วมกับตำรวจในพื้นที่ และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นต่างๆ เข้าไปแก้ปัญหา โดยเฉพาะจับตาอดีตผู้ต้องโทษที่กลับมาอยู่ในพื้นที่ เก็บสถิติข้อมูลเพื่อป้องกันเหตุ ต้องระวังเข้าไปพูดคุยประสานงานร่วมกับชาวบ้านเป็นหลัก
พล.ต.ท.สุคุณ ยังระบุว่า
ในส่วนของ พัทยา-ชลบุรี ขณะนี้มีชาวอินเดียเป็นนักท่องเที่ยวหลัก และกำลังมียุโรปทยอยเข้ามาเรื่อยๆ
นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักพบกับ แก๊งสาวสอง ที่มาพูดมาคุยมาหลอกลวงต้มตุ๋น หยิบล้วงกระเป๋า ฉกทรัพย์สิน หรือชักชวนกันไปหลับนอนแล้วมอมยาลักทรัพย์
บางส่วนก็ฉวยโอกาสเข้ามาถ่ายทำหนังลามก และตั้งตัวเป็นมาเฟียทำธุรกิจสีเทาร่วมกับคนไทย ปัญหาอาชญากรรมในส่วนนี้ช่วงโควิดก็หายไปเยอะ แต่ก็กำลังจะกลับมาใหม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ได้เฝ้าระวังดูพฤติกรรมของสาวสองในพื้นที่สุ่มเสี่ยง บริเวณชายหาดเมืองพัทยา หน้าศูนย์การค้ารอยัลการ์เด้น พลาซ่า พัทยา
พบสาวสอง 2 คน มีพฤติกรรมกำลังเข้ารุมลวนลามและได้ฉวยโอกาสปลดสร้อยคอนักท่องเที่ยว หนุ่มวัน 24 ปี ชาวรัสเซีย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงตัวขอตรวจค้นพบสร้อยคอทองเคอยู่ในมือ จับกุม นายกิตติพันธ์ อายุ 38 ปี และ นายนายอนิวัตร อายุ 29 ปี ดำเนินคดี
สำหรับ เชียงใหม่ เดิมเป็นนักท่องเที่ยว จีน และเกาหลี แต่ปัจจุบันหลังโควิดเปลี่ยนไปแล้ว นักท่องเที่ยวว่วนมากเป็นโซนยุโรป นิยมเที่ยวบรรยากาศธรรมชาติป่าเขาน้ำพุร้อน
ตำรวจต้องเข้าไปดูความปลอดภัยของสถานที่ป้องกันกระทบกระทั่งกับชาวบ้าน และความปลอดภัยของสถานที่ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ เพื่อความเป็นมาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว สำรวจความปลอดภัยร่วมกับกรมการท่องเที่ยว ถ้าพบว่าไม่ปลอดภัยก็จะต้องยกเลิกใบอนุญาตของสถานที่นั้นๆ
สำหรับประเภทของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แฝงตัวเข้ามา กระทำความผิดในลักษณะต่างๆ ประกอบด้วย
-อินเดีย เงินกู้
-เกาหลี พนันออนไลน์
-จีน แอปเงินกู้ CAllcenter ไลฟ์สดผ่านแอปลามกอนาจาร หลอกโอนเงิน
-คนดำผิวสี ยาเสพติด Romance Scam หลอกลวงลงทุนผ่านสื่อออนไลน์
-มาเลเซีย จีน กัมพูชา ร่วมกับคนไทยเปิดบัญชี ให้กลุ่มคอลเซ็นเตอร์
-เวียดนาม ล้วงกระเป๋า แก็งค์ CAllcenter และ Romance Scam
-รัสเซีย เบลเยียม ความผิดเกี่ยวกับ พรบ.มัคคุเทศก์ เกี่ยวข้องกับแก๊ง CAllcenter และ Romance Scam.
รายงานพิเศษ /วัศยศ งามขำ
https://www.bangkokpost.com/thailand/general/2462585/police-target-tourist-hunters