ผบ.ตร.ย้ำเด็ดขาดไม่เอาไว้ ตัดนิ้วร้าย “รองผู้กำกับการ” พัวพันบัญชีม้า พร้อมสั่งขยายผลคดีถึงที่สุด
วันที่ 28 ตุลาคม 2568 พล.ต.ท.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ได้รับรายงานเรื่องรองผู้กำกับการ ในสังกัดสถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสมคบฟอกเงินและเป็นที่ปรึกษาให้เครือญาติเปิดบัญชีม้า เป็นความผิดร้ายแรง
สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลตรวจสอบและดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งทางปกครอง วินัย และอาญา ทราบว่ามีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ผบ.ตร.สั่งการให้ขยายผลทางคดี สืบสวนเครือข่ายบัญชีม้า อาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายรองผู้กำกับการ นายนี้อย่างเด็ดขาด
เรื่องนี้ ผบ.ตร.ย้ำว่ายอมไม่ได้ เอาไว้ไม่ได้ เป็นตำรวจแล้วทำผิดเสียเอง โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ที่เป็นภัยร้ายของสังคม หลอกลวงประชาชน ซึ่งทุกภาคส่วนกำลังช่วยกันปราบปราม สกัดกั้นอย่างสุดความสามารถ
แต่รายนี้เป็นตำรวจ กลับไปร่วมขบวนการกับคนร้าย และขอเตือนข้าราชการตำรวจทุกนายอย่าเกี่ยวข้องรับผลประโยชน์ ให้การสนับสนุนกับเครือข่ายบัญชีม้าและอาชญากรรมออนไลน์ทุกประเภทโดยเด็ดขาด
ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้สั่งการให้ทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2568
หากผลการสอบสวนพบว่า มีข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลรายใดมีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมกระทำความผิด กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาโดยเด็ดขาด
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.กำชับให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดกับตำรวจที่กระทำผิดกฎหมายทุกราย ย้ำชัดเป็นข้าราชการตำรวจไม่ควรทำผิดเสียเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กำชับไว้อย่างเข้มงวดในนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2569 ในแนวทาง “9 ก้าวหน้า” ในด้านการมีคุณธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และย้ำในวิสัยทัศน์ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”
ก่อนนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 28 ต.ค.
กรณี พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. สั่งการ พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2 ออกคำสั่งบก.น.2 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พ.ต.ท.พศินกนกภรัณ วัชระเพชรกากแก้ว รองผกก.(สอบสวน) สน.ดอนเมือง เนื่องจากวันที่ 7 ต.ค.68 พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ สน.ดอนเมือง ได้ทำบันทึกข้อความ เรื่อง รายงานข้าราชการตํารวจต้องคดีอาญา
พ.ต.ท.ภศินกนกภรัณ ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดอาญา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน,
สมคบโดย การตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะ เหตุที่ได้มีการสมคบกัน,ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่
ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5865/2568 ลงวันที่ 6 ต.ค.68 โดยร.ต.อ.หญิง ณัฐพิมล ลาภมาก กก.ป.ปอท.2 พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
สืบเนื่องจากช่วงปลายเดือนพ.ค.68 ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีถูกหลอกชักชวนลงทุนเทรดหุ้นออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มชื่อ “FINNIXMAX” โดยเห็นจากโฆษณาในเฟซบุ๊กโดยในระยะแรกสามารถเบิกถอนเงินได้ตามปกติ
พอผู้เสียหายลงทุนเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ถูกฉ้อโกงเงินไปมูลค่าความเสียหายกว่า 1.2 ล้านบาท
ชุดสืบสวนบก.ปอท.รวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 24 ราย จับกุมได้แล้ว 16 ราย อายัดตัวผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมในเรือนจำ 1 ราย
พร้อมตรวจยึดของกลางและอายัดทรัพย์สินหลายการ อาทิ รถยนต์ 9 คัน กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม 48 รายการ, เงินสด 295,920 บาท โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 23 รายการ สมุดบัญชีธนาคารกับบัตรเอทีเอ็ม 92 รายการ รวมทรัพย์สินมูลค่ากว่า 21 ล้านบาท
ต่อมา รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับศาลเพิ่มเติมอีก 5 ราย วันที่ 7 ต.ค. นำกำลังรตรวจค้นเป้าหมาย 6 จุด ในพื้นที่กทม. และจ.อุดรธานี จับกุมพ.ต.ท.พศินกนกภรัณ เมื่อเวลา 10.00 น. ได้ที่ห้องหมายเลข 2 บ้านเลขที่ 70/148 ซอยแจ้งวัฒนะ 4 แยก 9 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. คดีอยู่ระหว่างสอบสวน
ต่อมา พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2 เซ็นคำสั่งบก.น.2 ที่ 291/2568 ลงวันที่ 8 ต.ค.68 เนื่องด้วย พ.ต.ท.พศินกนกภรัณ วัชระเพชรกากแก้ว รองผกก.(สอบสวน) สน.ดอนเมือง รับเงินเดือนระดับ ส.3 ขั้น 23 อัตราเงินเดือน 44,130 บาท ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญาดังกล่าว
และมีเหตุผลให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3(1) คือ ถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญาโดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย ของประชาชน ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดการเสียหายแก่ราชการ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การสอบสวนพิจารณาคดีที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว
ฉะนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 มาตรา 131 และมาตรา197 แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบกับ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547
มีคำสั่งให้พ.ต.ท.พศินกนกภรัณ ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.68 เป็นวันที่พ.ต.ท.พศินกนกภรัณ ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัว
ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับ และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์

























