“พล.ต.ท.นิธิธรฯ” ชมเชยการตัดสินใจแห่งชีวิต ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริปฏิบัติหน้าที่แข่งกับเวลา ส่งต่อหัวใจดวงที่ 100 ให้แก่ผู้รับบริจาคได้สำเร็จทันเวลา อีก 8 นาที ครบ 4 ชั่วโมง เดตไลน์ในการต่อชีวิต
วันที่ 27 กรกฎาคม 2567 พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ชมเชยตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร
ในการวางแผนและการตัดสินใจในการนำส่งอวัยวะหัวใจดวงที่ 100 ให้แก่ผู้รับบริจาค ซึ่งประสบปัญหาสภาพการจราจรทางอากาศคับคั่งทำให้เครื่องบินดีเลย์ และอีกทั้งสภาพการจราจรที่หนาแน่นในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเวลาค่ำของวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
โดยอวัยวะหัวใจดังกล่าวนำส่งถึงทีมแพทย์ที่รอทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ โรงพยาบาลศิริราช ได้อย่างทันเวลา
ชมคลิปภารกิจ คลิกhttps://youtu.be/0jtOmiRCMz4?si=xGFFBzGpnO9lQ4ab
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 เวลาประมาณ 15.50 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร รับแจ้งว่ามีภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจดวงที่ 100 จากจังหวัดพิษณุโลก โดยเครื่องบินพาณิชย์โดยสาร มาลงยังสนามบินดอนเมือง เพื่อนำส่งไปให้กับผู้รอรับบริจาค ณ โรงพยาบาลศิริราช
ทีมแพทย์แจ้งว่า หัวใจที่ได้รับการบริจาคดวงนี้ได้รับการผ่าตัดออกจากร่างของผู้บริจาคในเวลา 16.00 น. ซึ่งอวัยวะหัวใจหากผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย นั่นหมายความว่าอวัยวะหัวใจดวงนี้ต้องส่งถึงมือศัลยแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช ในเวลาไม่เกิน 20.00 น.
พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (รอง ผบก.จร.)ได้นำกำลังตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริรุดไปยังสนามบินดอนเมืองเพื่อรอปฏิบัติภารกิจดังกล่าว มีทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลศิริราชที่รอรับอวัยวะหัวใจ ร่วมกันวางแผนการนำส่งเพื่อให้ถึงทีมศัลยแพทย์ที่รอทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ได้ทันในเวลา 20.00 น.
แต่เนื่องจากปัจจัยของสภาพการจราจรทางอากาศทำให้เที่ยวบินนี้เกิดความล่าช้า มาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองในเวลา 19.22 น. ระยะทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองถึงโรงพยาบาลศิริราช 33 กิโลเมตร ด้วยสภาพการจราจรในเวลาดังกล่าวต้องใช้เวลาประมาณ 50 นาที หากเดินทางด้วยรถพยาบาล
พ.ต.ท.ทศพร กลีบแก้ว รอง ผกก.2 บก.จร.ได้เสนอว่าหากนำส่งด้วยรถจักรยานยนต์จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้น พ.ต.อ.จิรกฤตฯ เป็นผู้รับกล่องบรรจุอวัยวะหัวใจดวงนี้จากทีมแพทย์ ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง สว.งาน 2 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร (ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ) โดยมีตำรวจจราจรทางด่วนและตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ นำทางและอำนวยความสะดวกจราจร โดยทุกคันจำเป็นต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูง
ด้วยภารกิจนี้มีชีวิตเป็นเดิมพัน พร้อมประสานกับตำรวจจราจรท้องที่ในเส้นทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองถึงโรงพยาบาลศิริราช ิใช้เวลา 18 นาทีถึงโรงพยาบาลศิริราช ในเวลา 19.50 น. วิ่งเต็มสปีดส่งต่อให้กับทีมศัลยแพทย์หัวใจในห้องผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยในเวลา 19.52 น. ทันเวลาแบบฉิวเฉียด
พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า การนำส่งอวัยวะหัวใจถือเป็นภารกิจที่สำคัญ เนื่องจากผู้บริจาคอวัยวะหัวใจ และครอบครัวของผู้บริจาค ยอมมอบบริจาคหัวใจ เพื่อส่งต่อโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับผู้รอรับบริจาค ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา
ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมืออย่างเต็มที่จากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน ที่เปิดทางให้กับรถฉุกเฉินเมื่อได้ยินสัญญาณไซเรนท์ขอทาง
โดยกรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 100 แล้ว ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าการผ่าตัดเสร็จสิ้นเรียบร้อยดีเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในกระบวนการสังเกตอาการของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลศิริราช ทราบในเบื้องต้นว่าหัวใจของผู้บริจาคสามารถเข้ากันกับหัวใจของผู้รับบริจาคได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรทุกนายที่มีส่วนร่วมในภารกิจนี้ ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ รวมถึงตำรวจจราจรทุกท้องที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลในเส้นทาง ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน สมกับจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” เพื่อยกระดับการบริการประชาชน และสร้างความเชื่อถือศรัทธา