ประเด็นร้อนของวันที่ 31 มกราคม
นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เมตา(Meta) หรือเฟซบุ๊ก กลางสภาคองเกรสของสหรัฐฯ หลังจาก นายจอช ฮอว์ลี่ย์ วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ถามหาความรับผิดชอบ
กรณีมีวัยรุ่นอายุระหว่าง 13-15 ปี ถูกเผยแพร่กระทำอนาจารบนแพลตฟอร์ม อินสตาแกรมถึง 37%ในหนึ่งสัปดาห์ ซัคเคอร์เบิร์กได้ลงโทษใครบ้างไหม
มาร์คกลับตอบเลี่ยงว่ามีนเป็นเหตุผลที่เราต้องสร้างเครื่องมือพวกนี้ โดยไม่ตอบคำถามของนายจอช ฮอว์ลี่ย์ แต่อ้างว่าไม่เหมาะที่จะพูดตรงนี้ วุฒิสมาชิกถึงกลับเสียงกร้าวใส่ว่า
“คุณรู้มั้ยว่าใครนั่งอยู่ข้างหลังบ้าง พวกเขาคือครอบครัวของเหยื่อที่มานั่งอยู่ที่นี่”
“คุณจะกล่าวขอโทษเหยื่อหรือไม่”
มาร์คได้แต่อ้ำอึ้ง จนวุฒิสมาชิกย้ำสำทับว่า “คุณจะขอโทษเดี๋ยวนี้มั้ย” ต่อหน้าโทรทัศน์แห่งชาติที่ถ่ายทอดสด ขอโทษผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแพลตฟอร์มของเขาตอนนี้เลยได้หรือไม่
เมื่อนายมาร์ค หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับครอบครัวของเหยื่อจำนวนหนึ่ง เพื่อกล่าวคำขอโทษ วุฒิสมาชิกได้บอกให้ครอบครัวเหยื่อชูภาพลูกๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของโซเชียลมีเดียให้เห็นจะจะต่อหน้าเจ้าของแพลตฟอร์มอินสตาแกรมหรือไอจี
มาร์ค มีสีหน้าเหมือนสำนึกบาปที่ก่อขึ้น โดยกล่าวว่า
“ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่พวกคุณต้องได้รับความทุกข์ทรมาน นี่คือเหตุผลที่เราต้องลงทุนและพยายามในธุรกิจนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครจะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีก”
“รู้ไหมว่าทำไมบริษัทของคุณจะไม่ถูกฟ้องร้องคดีนี้“
หลังจากนั้น “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก”ได้ชี้แจงตอบสภาคองเกรสว่า
“เราเผชิญหน้ากับเรื่องราวสำคัญ ทั้งการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลความปลอดภัยและประชาธิปไตย แล้วพวกคุณก็ตั้งคำถามมากที่ตอบยาก”
“ก่อนที่จะพูดถึงมาตรการในการแก้ไขปัญหา ผมอยากจะกล่าวถึงว่าเรามาถึงตรงจุดนี้ได้อย่างไร เฟซบุ๊กเป็นบริษัทที่ยึดมั่นในอุดมการณ์และมองโลกในแง่ดี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเรามุ่งหมายไปยังสิ่งที่ดีงามที่ผู้คนทั้งโลกจะได้เชื่อมโยงติดต่อกัน
เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ผู้คนทุกหนแห่งมีเครื่องมืออันทรงพลังใหม่ที่จะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และสร้างชุมชนใหม่และด้านธุรกิจ”
“เราได้เห็นการเคลื่อนไหวจัดการของกลุ่ม “มีทู มูฟเม้นท์” และ“มาร์ช ฟอร์ เอาร์ ไลฟ์”บางส่วนบนเฟซบุ๊ก หลังเหตุการณ์พายุเฮอริเคนฮาร์วี่ย์ ผู้คนได้ใช้เฟซบุ๊กระดมเงินบริจาคช่วยเหลือได้กว่า 20 ล้านดอลล่าร์ และมากกว่า 70 ล้านธุรกิจเอสเอ็มอีใช้เฟซบุ๊กในการสร้างงานและขยายกิจการ”
“แต่มันชัดเจนว่า เราไม่ได้ระมัดระวังมากเพียงพอที่จะไม่ให้เครื่องมือเหล่านี้ ถูกใช้ไปในทางเสื่อมเสีย อย่างเช่น การสร้างข่าวปลอม การแทรกแซงการเลือกตั้ง และการใช้ถ้อยคำให้ร้ายเฮทสปีช”
“เราไม่ได้มองว่าเราจะต้องมีความรับผิดชอบมากถึงขนาดนี้ และนั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นความผิดพลาดของผมเอง และผมรู้สึกเสียใจ”
“ผมเป็นคนก่อตั้ง ดำเนินกิจการเฟซบุ๊ก ผมจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้”
“ดังนั้นตอนนี้เราจะคำนึงถึงความสัมพันธ์ของเรากับประชาชนทุกคน ทำให้มั้นใจว่าเราต้องรับผิดชอบอย่างกว้างขวาง มันไม่เพียงพอที่การเชื่อมต่อของผู้คน การเปิดให้เสียงของผู้คนได้ออกมาพูดไม่ใช่ใ้ห้เพื่อทำร้ายหรือทำลายผู้อื่น หรือกระจายข้อมูลที่ผิดๆ”
“การจะควบคุมไม่ให้เกิดเรื่องเสียหาย เราต้องทำให้ผู้พัฒนาแอปที่เอาข้อมูลไป ต้องปกป้องข้อมูลเหล่านั้นด้วย”
“ทุกอย่างที่เราทำ เราไม่ได้เพียงแค่สร้างเครื่องมือใหม่ๆเท่านั้นแต่ต้องมั่นใจด้วยว่าเครื่องมือเหล่านั้นต้องถูกนำไปใช้ในทางที่ดีมันต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งที่จะปรับเปลี่ยนทั้งหมดในบริษัท
ผมให้สัญญาว่าจะทำให้ถูกต้อง รวมถึงความรับผิดชอบในการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ อย่างเช่นที่เราผิดพลาดในกรณีของ เคมบริดจ์ อนาลิติกา”
เคมบริดจ์ อนาลิติกา นั้นคือ บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากเฟซบุ๊กที่เป็นของเอกชน ก่อตั้งในสหราชอาณาจักร โดยอเล็กซานเดอร์ นิกซ์ ร่วมกับสองพี่น้อง อเล็กซานเดอร์ โอ๊คส์ และ ไนเจล โอ๊คส์
สร้างเรื่องอื้อฉาวในเรื่องแฮ็คข้อมูล สร้างความเสื่อมเสียด้านชื่อเสียงให้นักการเมืองฝ่ายค้านของสหรัฐฯ ด้วยวิธีใช้โสเภณี สาวสวย ส่งไปหานักการเมือง ติดสินบนต่างๆ นานา จนสำนักงานคณะกรรมาธิการข้อมูลแห่งสหราชอาณาจักรได้ออกหมายจับค้นยึดเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท รวมทั้งเฟซบุ๊กได้สั่งห้ามเคมบริดจ์ อนาลิติกาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มทั้งหมด
“เฟซบุ๊ก” ถูกเขย่าอย่างสะท้านสะเทือนเมื่อปี 2018
ข้อมูลส่วนตัวคือ ขุมสมบัติอันล้ำค่าของขบวนการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่รุกล้ำเข้าไปในทุกองคาพยพของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และอื่นๆ
เมื่อโซเชียลมีเดีย มีประโยชน์คุณค่ามหาศาลต่อมนุษย์มากเท่าใด มันก็เป็น “มหันตภัย”ต่อมวลมนุษย์อย่างร้ายแรงได้เช่นกัน
ดอนรัญจวน 2/2/2567