เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.และ ผอ.ศปน.ตร., แถลงว่า ระหว่างปลายปี 64 ถึงปี 65 มีผู้เสียหายร้องทุกข์ กก.5 บก.ปอศ. กรณีกู้เงินมาจากแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบชื่อ กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม และ Self service รวมถึงแอปพลิเคชันอื่นที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 40 แอปพลิเคชัน
เรียกดอกเบี้ยโหดกว่าร้อยละ 2,080 ต่อปี และมีพฤติการณ์ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหาย
กรณีดังกล่าว ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) มีตนเป็น ผอ.ศปน.ตร., พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร.,รอง ผอ.ศปน.ตร., พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร.,รอง ผอ.ศปน.ตร.สั่งการให้ บช.ก. เร่งรัดปราบปราม
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.มอบหมายให้ บก.ปอศ. โดย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.สืบสวนหาเครือข่ายผู้กระทำความผิดดังกล่าวมาดำเนินคดี
กระทั่งวันที่ 15 ธ.ค.65 พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 กัวหน้าชุดปฏิบัติการส่วนกลาง ศปน.ตร. ร่วมบูรณาการกับ น. ภ.1 ภ.2 ภ.5 และ ภ.7 รวมกำลังทั้งสิ้นกว่า 100 นาย บุกทลายเครือข่ายลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านแอปพลิเคชันชื่อ “Self service” และ แอปพลิเคชันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 40 แอปพลิเคชัน
มีพฤติการณ์ในการปล่อยเงินกู้ เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ทวงถามหนี้โดยส่งข้อความข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย จากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มทุนชาวจีนอยู่เบื้องหลัง
สามารถพิสูจน์ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชั่นดังกล่าว และออกหมายจับผู้ต้องหา 23 หมาย ผู้ต้องหา 22 ราย และตรวจค้นเป้าหมาย 22 จุด ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี เชียงราย พะเยา ชลบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์
จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 20 หมาย ผู้ต้องหา 19 ราย ประกอบด้วย
1. น.ส.เปา ลู่ ซัน ชาวจีน อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 828/2565 ลง 13 ธ.ค.65
2. น.ส.ไช่ ซิง เหมย ชาวจีน อายุ 29 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 829/2565 ลง 13 ธ.ค.65 และหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 737/2565 ลง 13 ธ.ค.65 และพวกที่เหลืออีก17คนทั้งหมดเป็นคนไทย
ตรวจยึดของกลาง 7 รายการ ประกอบด้วย สมุดบัญชีเงินฝาก 5 เล่ม คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง บัตรอิเล็คทรอนิกส์ 3 ใบ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ซิมการ์ด 4 ซิม เราเตอร์ 1 เครื่อง อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ 5 เครื่อง อายัดบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้อง 33 บัญชี ยอดเงิน 5,293,869.77 บาท
ทั้ง 19 ราย จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,ร่วมกันให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันทวงถามหนี้ในลักษณะข่มขู่”
จากการสืบสวนพบว่าแอปพลิเคชั่น กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม และ Self service มีลักษณะคล้ายกัน เมื่อดาวน์โหลดแอปพลิชันแล้ว ภายในมีแอปพลิเคชันย่อยแฝงอยู่กว่า 40 แอปพลิเคชัน ลูกหนี้สามารถเลือกกู้เงินได้ คิดค่าบริการร้อยละ 40 ของยอดเงินกู้ ต่อ 7 วัน หรือคิดดอกเบี้ยกว่า ร้อยละ 2,080 ต่อปี
เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา จะโทรศัพท์และส่งข้อความมาทวงถาม ลักษณะข่มขู่คุกคามว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
สืบสวนเพิ่มเติม พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือนายทุนชาวจีนที่เป็นผู้รับผลประโยชน์และเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับแอปพลิเคชันดังกล่าว หลังจากที่มีการเปิดปฏิบัติการทลายแก๊งปล่อยเงินกู้ในครั้งนี้ มีความพยายามจะหลบหนีไปออกนอกประเทศ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปน.ตร. และชุดปฏิบัติการส่วนกลางติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด
ในส่วนของแอปพลิเคชัน“กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม” มีแอปพลิเคชันอื่นที่เกี่ยวข้องกว่า 20 แอปพลิเคชัน พบว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับแต่อย่างใด ในระยะเวลา 6 เดือน กลุ่มคนร้ายใช้บัญชีธนาคารกว่า 20 บัญชี ในการกระทำความผิด มียอดเงินหมุนเวียนสูงถึง 1,000 ล้านบาท เมื่อได้กำไรจากการปล่อยเงินกู้นอกระบบแล้วจะรีบโอนเงินออกเป็นทอดๆ ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
ส่วนแอปพลิเคชัน“Self service” พบว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับเช่นเดียวกัน ในระยะเวลา 6 เดือน พบว่ากลุ่มคนร้ายใช้บัญชี 11 บัญชี ในการกระทำความผิด มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 1,500 ล้านบาท และโอนเงินออกเป็นทอดๆ เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองแอปพลิเคชั่น นำกำไรดังกล่าวไปซื้อเป็นเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สินค้าและบริการ เพื่อให้ยากต่อการถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ศปน.ตร. มีหน้าที่ในการปราบปรามแก๊งเงินกู้นอกระบบ ปัจจุบันมีการกระทำผิดในหลายรูปแบบ ปฏิบัติการในครั้งนี้ได้เข้าทลายแก๊งเงินกู้นอกระบบผ่านแอพลิเคชั่น ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการกู้ได้ง่ายมากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้กู้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งแก๊งเหล่านี้จะเอามาใช้ในการข่มขู่เพื่อให้ผู้กู้ยินยอมชำระดอกเบี้ยมหาโหดถึงร้อยละ 40 ต่อ 7 วัน หรือร้อยละ 2,080 ต่อปี
เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องรวมทั้งนายทุนชาวจีนที่อยู่เบื้องหลังแอพลิเคชั่นดังกล่าว พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินและบัญชีที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ จากนี้จะสั่งการให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินเพิ่มเติมที่ติดตามยึดอายัดเพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะตรวจสอบการกระทำผิดในลักษณะของการปล่อยเงินกู้นอกระบบ เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป
หากพี่น้องประชาชนคนใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งเงินกู้ หรือมีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ สามารถแจ้งได้ที่ช่องทาง 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสามารถแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนภัยถึงประชาชน อย่าหลงเชื่อในการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยังเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้ใช้ความระมัดระวังในการอนุญาตให้ผู้อื่นเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทางช่องทางต่างๆ เช่น การอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์
หากต้องการตรวจสอบแหล่งเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถตรวจสอบใบอนุญาตการปล่อยสินเชื่อได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้
– ธนาคารแห่งประเทศไทย เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/app/BotLicenseCheck
– สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เว็บไซต์ http://www.1359.go.th/picodoc/comp.php
ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
พ.ต.ต.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.5 บก.ปอศ. โทร 094 439 2557
พ.ต.ต.สุทธิพงษ์ จันทพันธ์ สว.กก.5 บก.ปอศ. โทร 092 938 8593
“ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”ผอ.ศปน.ตร.”กล่าวแถลง”