ตอน 20
ผมนั่งเรื่อย ๆ พร้อมจิบวิสกี้ละเลียดไปด้วย
รอคอยการโชว์ของทีน่าและจานีน แต่ทั้งคู่ยังไม่มา มีชายท่าทางกรีดกรายผมดัดเป็นลอน ออกมาเล่นเปียโนไปพลางก่อน แล้วมีนักร้องหน้าใหม่นาม วาเลนเซียออกมาขับขานเพลง
เธอร้องไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่แต่ยังดีกว่าทีน่าและจานีนหรอก อย่างน้อยก็เลือกเพลงดี ๆ มาร้อง เปียโนตั้งอยู่ด้านขวาของบาร์ตรงที่ผมนั่งพอดี วาเลนเซียยืนร้องเพลงตรงกับผมพอดีเหมือนกัน
ผมสบโอกาสส่งสายตาให้ แต่เธอแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ผมก็ไม่ควรไปจ้องมองเธอมากเลย แต่ตอนนั้นผมเมาพอได้ที่แล้ว พอเธอร้องเพลงจบลงก็รีบเผ่นออกจากบาร์อย่างรวดเร็ว ผมไม่มีโอกาสเชิญเธอมาร่วมโต๊ะดื่มเลย ผมจึงเรียกหัวหน้าพนักงานต้อนรับมาหา บอกเขาช่วยเชิญวาเลนเซียมานั่งร่วมโต๊ะบ้าง
เขาบอกว่าจะไปตามให้ แต่บางทีเขาอาจจะไม่ไปตามเธอให้หรอก พวกนี้ไม่เคยรับฝากอะไรใครหรอก
ไอ้หนูเอ๋ย ผมนั่งอยู่ในบาร์ห่านั่นยันตีหนึ่งในสภาพเมาระยำทีเดียว ผมแทบจะมองไม่เห็นข้างหน้าตรง ๆ สิ่งหนึ่งที่ผมทำคือระมัดระวังอย่างยิ่งยวดไม่ให้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ผมไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นหรือมาถามว่าอายุเท่าไหร่แล้ว
แต่ผมเบลอไปหมด เมาขนาดหนัก
เริ่มรู้สึกแย่อีกแล้วเหมือนมีหัวกระสุนฝังอยู่ในไส้ในพุง ผมคนเดียวในบาร์กระมังที่มีหัวกระสุนอยู่ในไส้ในพุง
ผมเอามือซุกเข้าไปในเสื้อคลุมทำท่ากุมท้อง ไม่ให้เลือดเปรอะไปทั่ว ผมไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บ ผมปกปิดความจริงที่ผมได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
ในที่สุดก็รู้สึกอยากทำอะไร ผมรู้สึกอยากโทรไปหาเจน ดูสิว่าเธอกลับบ้านแล้วหรือยัง ผมจัดการจ่ายค่าอาหารแล้วก็ออกจากบาร์ ตรงไปตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยยังคงซุกมืออยู่ในเสื้อคลุมป้องกันไม่ให้เลือดหยดเป็นทาง ไอ้หนูเอ๋ยผมเมาหนักไปมากแล้วคืนนี้
แต่ตอนที่เข้าไปในตู้โทรศัพท์ ผมไม่มีอารมณ์จะโทรไปหาเจนอีกเลย ผมคงเมามากเกินไปแล้ว คิดว่าอย่างนั้นนะ สิ่งที่ผมทำต่อไปคือโทรไปหาแซลลี่ เฮย์ส แทน
ผมหมุนราวยี่สิบหมายเลขกระมัง ถึงได้โทรถูกครั้งหนึ่ง โธ่เอ๋ยไอ้หนู ตาบอดไปแล้วหรือนี่
“หวัดดี” ผมพูดเมื่อมีคนรับสาย ผมเหมือนจะตะโกนกรอกเสียงลงโทรศัพท์ อนิจจา ผมเมาขนาดหนักจริง ๆ
“ใครกันเนี่ย” น้ำเสียงดูเย็นชาแบบสุภาพสตรี
“นี่ผมโฮลเด้น คอลฟีลด์ ครับ ขอพูดกับแซลลี่หน่อยครับ ได้โปรดเถอะ”
“แซลลี่หลับอยู่น่ะ นี่คุณยายของแซลลี่กำลังพูด ทำไมโทรมาตอนนี้หือโฮลเด้น รู้มั้ยว่าเวลาเท่าไหร่แล้วล่ะหา”
“ปลุกแซลลี่ขึ้นมาหน่อยซี ปลุกหน่อยซี เฮ้ขอร้องล่ะ”
ทันใดนั้นมีเสียงแทรกขึ้นมาว่า “โฮลเด้น นี่ฉันนะ” ใช่แล้วเสียงของแซลลี่ “มีอะไรอีกล่ะหือ”“แซลลี่ นั่นคุณเหรอ”
“ใช่สิ เลิกตะคอกได้แล้ว เธอเมามากเลยเหรอนี่”
“ช่าย ฟังนะ ฟัง เฮ้ ผมจะมาหาคืนวันคริสต์มาสอีฟ ตกลงนะ มาตกแต่งต้นไม้บ้าอะไรนั่นให้คุณ__โอเคมั้ยแซลลี่”
“ใช่ เธอน่ะเมามากแล้ว ไปนอนเลยไป๊ อยู่ที่ไหนล่ะตอนนี้ อยู่กับใครฮึ”
“แซลลี่ ผมจะไปหานะ ไปช่วยแต่งต้นไม้ให้คุณ ตกลงนะ โอเคนะ”
“ไม่มีใครเลย ผมตัวผมและก็ผมไง” ไอ้หนูเอ๋ย ผมเมาจริง ๆ รึเนี่ย ผมรู้สึกว่ายังกุมอยู่ที่ท้อง“พวกมันเล่นงานผมแล้ว พวกแก๊งร็อกกี้ รู้รึเปล่า แซลลี่คุณรู้รึเปล่า”
“ฉันไม่ได้ยินเธอเลย ไปนอนเสียเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไปก่อนล่ะ โทรหาฉันในพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
“เฮ้ แซลลี่ คุณต้องการให้ผมไปช่วยประดับต้นไม้หรือเปล่า ต้องการมั้ย หา”
“ใช่ ราตรีสวัสดิ์ กลับบ้านเถอะ แล้วก็นอนซะ”
เธอวางหูโทรศัพท์กระแทกโครม
“ราตรีสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ แซลลี่ แซลลี่ที่รักของผม”
ผมพล่าม คุณนึกออกมั้ยว่าผมเมาขนาดไหนกันนะ ผมวางหูโทรศัพท์ด้วยเช่นกัน จากนั้นผมนึกถึงภาพเธออาจจะเพิ่งกลับถึงบ้านหลังจากนัดพบกับผม
ผมนึกภาพเธอเด่นชัดกับเดอะ ลันท์ส อยู่ด้วยที่ไหนสักแห่ง และเจ้าทึ่มจากแอนโดเวอร์พวกนั้นว่ายวนเวียนอยู่กับหม้อต้มชา พูดคุยกันแบบพวกอวดโอ่ ผู้ดี ต่อกันและกัน ดูมีเสน่ห์ผสมกับสวมหน้ากากเข้าหากัน
ผมภาวนาขอให้พระเจ้าประทานความช่วยเหลือ อย่าให้ผมพูดตอแหลกับเธอเลย ตอนที่ผมเมามาก ผมก็ดูเหมือนไอ้เวรบ้าคนหนึ่ง
ผมอยู่ในตู้โทรศัพท์สักพักหนึ่ง ผมจับหูโทรศัพท์ราวกับว่าไม่อาจสอบผ่านไปได้ ผมไม่มีความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่มีความรู้สึกตื่นตาตื่นใจเลย เรื่องจริง
ในสุดท้ายผมออกจากตู้โทรศัพท์และไปเข้าห้องน้ำ เดินตุปัดตุเป๋ไปรอบๆ เหมือนกับเด็กปัญญาอ่อนและเปิดน้ำเย็นเต็มอ่างล้างมือ แล้วก้มศีรษะจุ่มลงในอ่างจนท่วมถึงหู แล้วก็ไม่เสียเวลาจะเช็ดศีรษะให้แห้งก่อน ผมปล่อยให้น้ำหยดติ๋ง แล้วเดินข้ามไปนั่งตรงท่อน้ำร้อนใกล้หน้าต่าง มันสบายและอุ่นดี ผมรู้สึกดีเพราะผมสั่นยังกับลูกหมา มันตลกดี ผมมักจะหนาวสั่นระริกตอนเมาขนาดหนัก
ผมไม่มีอะไรจะทำอีก ยังคงนั่งอยู่บนท่อส่งน้ำร้อนและนับจำนวนแผ่นกระเบื้องสีขาวปูพื้นห้อง ตัวเปียกโชก น้ำนับแกลลอนหยดแหมะผ่านลำคอ เปียกชุ่มปกเสื้อและผ้าพันคอ ผมไม่สนใจหรอก ผมเมาเกินกว่าจะสนใจห่าอะไรทั้งนั้น
ชั่วประเดี๋ยวเดียว เจ้าคนเล่นเปียโนให้วาเลนเซีย คนที่ทำผมเป็นลอนลูกคลื่น ท่าทางเจ้าสำอางกรีดกรายเข้ามาหวีผมสีทอง เราเลยคุยกันระหว่างเขาหวีผม เพียงแต่ว่าท่าทางเขาไม่ค่อยจะจริงใจนัก
“เฮ้ คุณจะไปหาวาเลนเซียอีกมั้ย ตอนกลับเข้าไปในบาร์” ผมถามเขา
“เป็นไปได้มาทีเดียว” เขาตอบ ถุยไอ้เวร ผมเจอแต่พวกเศษสถุน
“ฟังนะ ผมฝากไปบอกเธอหน่อยได้มั้ย ถามเธอว่าเด็กเสิร์ฟมันเอาเรื่องไปบอกเธอหรือเปล่าได้มั้ยล่ะครับ”
“ทำไมนายไม่กลับบ้านซะล่ะพวก นายอายุเท่าไหร่แล้วนี่”
“แปดสิบหกมั้ง นี่ฟังนะ ช่วยบอกเธอหน่อยสิ โอเค”
“ทำไมไม่กลับบ้านเสียทีพรรคพวก”
“ไม่หรอก ไอ้หนูเอ๊ย คุณเล่นเปียโนใช้ได้เลย” ผมบอกเขา ผมแค่พูดยกยอปอปั้นเท่านั้นความจริง เขาเล่นเปียโนห่วยเหลือเกิน
“คุณน่าจะไปออกวิทยุบ้างนะ” ผมบอก “คนมีฝีมือขนาดคุณต้องมีผู้จัดการส่วนตัวเหมือนพวกผมทองทั้งหลายนั่นไง”
“ไปกลับบ้านซะเหมือนคนดีทั่วไป ไปนอนเสียเถอะ”
“ผมไม่มีบ้านที่จะกลับ ไม่ได้พูดเล่นนะ เอ่อ คุณต้องมีผู้จัดการแล้วรู้หรือเปล่า”
เขาไม่ตอบผม เพียงแค่หันหลังไป เขาหวีผมเรียบแปล้ตลอด ตอนเขาเดินจากไปมันช่างเหมือนเจ้าสแตรดเลเตอร์ ไม่ผิดเพี้ยน พวกรูปหล่อมาดดีมักมีลักษณะท่าทางเหมือน ๆ กัน ยิ่งตอนที่หหวีผม เขาทำใส่คุณอย่างไม่แยแสเลยล่ะ
หลังจากผมลงจากท่อส่งน้ำร้อน ออกไปที่ห้องรับฝากสิ่งของ ผมร้องไห้ออกมาเฉย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่มันก็ร้องไปแล้ว คิดว่าคงเป็นเพราะผมรู้สึกห่อเหี่ยวจิตใจและเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเอามาก ๆ
หลังจากนั้นตอนที่ไปห้องรับฝากของ ผมค้นหาแผ่นรับฝากไม่เจอ พนักงานสาวก็ดีใจหาย เธอหยิบเสื้อโค้ตมาให้ผม รวมทั้งแผ่นเสียง “ลิตเติ้ล เชอร์ลีย์ บีนส์” ที่ผมยังเก็บไว้ติดตัวตลอดเวลา
ผมให้ทิปเธอหนึ่งเหรียญเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจ แต่เธอกลับไม่ยอมรับทิปแน่ะเธอพร่ำบอกให้ผมกลับไปนอนเสีย ผมพยายามตื๊อขอนัดกับเธอหลังเลิกงาน เธอก็ไม่ยอมรับนัด เธอยังว่าเธอแก่พอที่จะเป็นแม่ผมได้สบาย ๆ
ผมชี้ให้ดูผมสีดอกเลา บอกว่าผมอายุสี่สิบสองแล้ว ก็เพียงกระเซ้าเล่น เธอน่ารักนะ ผมเอาหมวกล่าสัตว์สีแดงออกมาโชว์ เธอชอบมันด้วยล่ะ ให้ผมสวมหมวกก่อนกลับ เพราะผมยังเปียกโชกอยู่เลย เธอช่างแสนดีจริง ๆ
ผมหายเมาเป็นปลิดทิ้งเมื่อออกมายืนข้างนอก แต่ความหนาวยะเยือกก็มาเยือนอีกจนฟันกระทบกันกึกๆ หยุดไม่ได้เลย ผมเดินอ้อมไปทางถนนเมดิสัน อเวนิวรอคอยรถเมล์เพราะผมแทบไม่เหลือเงินติดกระเป๋าเลย ผมจำเป็นต้องประหยัดไม่ใช้บริการแท็กซี่อีกต่อไป แต่ผมไม่อยากนั่งรถเมล์บ้าๆ นั่น
อีกอย่างคือไม่รู้จุดหมายปลายทางที่จะไป จึงต้องเดินมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะ นึกภาพไปยืนข้างทะเลสาบเล็ก ๆ คอยจ้องดูว่าพวกเป็ดมันอยู่กันยังไง ดูสิว่าพวกมันยังคงอยู่ในทะเลสาบนั่นหรือเปล่า มันไม่ไกลเท่าไหร่นักที่จะไปสวนสาธารณะ แล้วก็ผมไม่มีสถานที่อื่นที่จะไปอีกผมไม่รู้แม้กระทั่งจะไปนอนที่ไหน จึงตัดสินใจไปสวนสาธารณะ
ผมไม่ได้อ่อนล้าสักเท่าไหร่ เพียงแต่มันเศร้าลึก ๆ ในใจเท่านั้นเอง
แล้วเรื่องที่น่าเจ็บปวดใจก็เกิดขึ้นในสวนสาธารณะ ผมทำแผ่นเสียงของโฟบี้ตก มันแตกเป็นเสี่ยงชิ้นเล็กชิ้นน้อยสักห้าสิบชิ้นกระมัง มันอยู่ในซองใส่แผ่นเสียงใบใหญ่ก็จริง แต่มันก็แตกละเอียดได้
ผมอยากจะร้องไห้จัง มันทำให้ผมปวดร้าวใจเหลือเกิน แต่ที่ผมทำได้ก็เพียงกอบเก็บชิ้นส่วนเล็ก ๆ ออกจากซองใส่แผ่นเสียงใส่ลงในกระเป๋าเสื้อคลุม มันไม่มีอะไรดีกว่านั้นเลย ผมไม่อยากจะโยนทิ้งไป แล้วผมก็เดินเข้าไปในสวนสาธารณะ ไอ้หนูเอ๋ย มันมืดแล้วล่ะ
ผมใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์กมาตลอดชีวิต ผมรู้จักเซ็นทรัลปาร์ก เหมือนกับหลังมือของผม เคยเป็นเล่นโรลเลอร์สเกตที่นั่นบ่อย ตอนเล็กๆ ขี่จักรยานเล่น แต่ผมก็สับสนยุ่งยากหาทางไปหนองน้ำบ้าในยามมืดค่ำ ผมรู้ว่าอยู่ตรงไหน มันอยู่ทางใต้ของเซ็นทรัลปาร์ก
ทว่าผมดันหามันไม่เจอ ผมต้องเมาหนักกว่าที่คิดแน่ ผมยังคงเดินและเดินต่อไป มันดูเหมือนจะยิ่งมืดมากขึ้น ๆ ชักน่าวังเวงยังไงไม่รู้ ผมไม่เห็นผู้คึนเลยในสวนสาธารณะ มันน่าจะดีใจนะ ผมคงจะกระโดดไกลได้เป็นไมล์ ๆ ถ้าทำได้
แล้วในที่สุดผมก็หาจนเจอ สภาพมันเป็นอย่างไรน่ะเหรอ มันมีบางส่วนจับเป็นน้ำแข็ง บางส่วนยังไม่เป็นแผ่นน้ำแข็ง แต่ผมไม่ยักเห็นพวกเป็ดแถวนั้นเลย ผมเดินไปตามขอบทะเลสาบรอบ ๆ เกือบจะลื่นตกทะเลสาบ แต่ก็ยังไม่เห็นเป็ดสักตัว ผมคิดว่าถ้ามันอยู่แถว ๆนี้ มันอาจจะนอนหลับอยู่ก็ได้ในกอหญ้าตรงตลิ่งสักแห่ง นั่นเองที่ทำให้ผมเกือบลื่นไถลตกน้ำ แต่ผมก็หามันไม่เจอสักตัวเดียว
ในที่สุดผมนั่งลงบนม้านั่ง ตรงบริเวณที่ยังพอมีแสงสว่างบ้าง ไอ้หนูเอ๋ย ผมยังคงสั่นงั่ก ๆ ราวกับลูกหมา ผมด้านหลังแม้จะสวมหมวกอยู่ก็ยังเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ ทำให้ผมเป็นกังวลมาก ผมคิดว่ามันจะทำให้ผมป่วยเป็นนิวมอเนียถึงตายเลยก็ได้
ผมกระหวัดคิดถึงพวกญาติมิตรนับล้านมาร่วมพิธีศพ ปู่มาจากดีทรอยต์ชอบเรียกขานชื่อถนนที่เป็นตัวเลขไปตลอดทางที่คุณนั่งไปด้วยบนรถเมล์ และบรรดาป้าๆ ที่ผมมีป้าสักห้าสิบป้าเห็นจะได้ รวมทั้งเหล่าญาติลูกพี่ลูกน้องที่น่าเบื่อ
ดูสิว่ามันจะเป็นอย่างไรที่มารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนขนาดนั้น พวกเขามาทั้งหมดเลยในงานศพของแอลลี่ รวมพวกที่งี่เง่าทั้งหลายด้วย
ผมเจอป้าที่งี่เง่าคนหนึ่งมีลมหายใจเหม็นหึ่งชอบพูดอยู่เรื่อยว่าดูสิเขานอนในนั้นท่าทางสงบสุขจังเลย ดี.บี.เล่าให้ผมฟัง ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ผมต้องไปโรงพยาบาลตลอดหลังจากประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่แขน
อย่างไรก็ตาม ผมยังกังวลว่าจะป่วยเป็นนิวมอเนียเพราะเกล็ดน้ำแข็งจับเส้นผม นั่นทำให้ถึงตายได้
ผมเศร้าใจมากกับพ่อและแม่ โดยเฉพาะแม่ เพราะยังคงโศกเศร้าต่อการจากไปของแอลลี่ ผมยังนึกไปถึงภาพว่าเธอไม่รู้ว่าเธอจะจัดการอย่างไรดีกับเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาของผม สิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง ผมรู้ดีว่าแม่จะไม่ให้โฟบี้มาร่วมพิธีศพของผม เพราะน้องสาวยังเป็นเด็กๆ นั่นล่ะเป็นเรื่องเดียวที่ดีล่ะ
แล้วผมก็คิดไปถึงว่ากลุ่มญาติ ๆ ร่วมกันหย่อนหีบศพของผมลงสู่ก้นหลุมฝังศพในสุสาน มีชื่อสลักไว้เหนือหลุมฝังศพ ล้อมรายไปด้วยผู้วายชนม์อื่นๆ
ไอ้หนูเอ๊ย ตอนที่คุณหมดอายุขัย พวกเขาจะฝังคุณอยู่กับที่ ที่ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าผมตายไปจริง ๆ ใครสักคนคงจะมีสำนึกมากพอที่จะจัดการโยนร่างผมลงไปในแม่น้ำมากกว่า ทำอะไรก็ได้ ยกเว้นเอาผมฝังลงในหลุม ผู้มาร่วมพิธีมารวมกันวางช่อดอกไม้บนหลุมตรงบริเวณท้องในทุกวันอาทิตย์ อะไรห่าเหวนั่น
ใครกันวะอยากจะได้ช่อดอกไม้ ตอนที่ตายไปแล้ว ไม่มีหรอก
เมื่ออากาศดีขึ้น พ่อกับแม่จะพากันมาวางช่อดอกไม้ที่หลุมศพของแอลลี่อยู่เสมอ ผมไปกับพ่อแม่สักสองสามครั้ง แล้วก็เลิกไป ประการแรกผมรู้สึกไม่อยากเห็นเขาในหลุมฝังศพ ล้อมรอบไปด้วยคนที่ล่วงลับไปแล้วอีกมากมาย
มันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก ถ้ายังมีดวงอาทิตย์โผล่อยู่บ้าง แต่ส่วนมากที่เราไปที่นั่นมีแต่ฝนตกพรำ มันน่าเบื่อหน่ายมาก มันตกใส่หลุมศพของเขา แล้วยังไหลเจิ่งนองผืนหญ้าที่คลุมเหนือท้องของเขาอีกด้วย ฝนตกไปทั่วทุกแห่ง ผู้มาเยี่ยมเยียนหลุมศพก็พากันวิ่งไปหลบฝนในรถของพวกเขา
ไอ้นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแทบคลั่ง พวกนี้เข้ามาในรถแล้วเปิดวิทยุฟังเพลง แล้วก็พากันไปอะไรอร่อย ๆ กินกันช่วงดินเนอร์ ไปกันหมดทุกคน ยกเว้นแอลลี่
ผมทนเห็นสภาพอย่างนั้นไม่ได้ ผมรู้หรอกว่าเป็นเพียงศพของเขาที่อยู่ในสุสานนั้น ส่วนวิญญาณของเขาไปอยู่บนสวนสวรรค์แล้ว ถึงยังไงผมก็ทนไม่ไหวอยู่ดี ผมได้แต่ภาวนาว่าเขาไม่ได้อยู่ในสุสานนั่น
คุณไม่รู้จักแอลลี่หรอก ถ้าคุณรู้จักเขาดีพอแล้วล่ะก้อ คุณก็จะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร มันก็ไม่เลวนักหรอกตอนที่ดวงอาทิตย์โผล่ แต่ดวงอาทิตย์จะโผล่ก็ตอนที่รู้สึกอยากจะโผล่เท่านั้นเอง
หลังจากนั้นสักพัก เลิกคิดถึงเรื่องนิวมอเนีย ผมล้วงกระเป๋าออกมานับเงินในแสงสลัว ๆ จากไฟริมถนน ทั้งหมดที่เหลือมีแค่สามดอลลาร์และเหรียญยี่สิบห้าเซ็นต์เพียงห้าเหรียญกับหนึ่งนิกเกิล
โธ่ไอ้หนูเอ๋ย ผมใช้จ่ายเกินไปตั้งแต่ออกจากเพนซี่ หลังจากนั้นสิ่งที่ผมทำ ผมเดินไปที่ทะเลสาบ และผมดีดเศษเหรียญพวกนั้นข้ามไปบริเวณผิวที่เป็นน้ำแข็ง ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น แต่ก็ทำไปแล้ว ผมเดาว่าผมคงคิดว่าจะขจัดความวิตกกังวลเรื่องเป็นนิวมอเนียแฃะกำลังจะตายได้กระมังมันเป็นอย่างนั้น
ผมเริ่มคิดว่าโฟบี้อายุเท่าไหร่แล้วปีนี้ ถ้าผมต้องป่วยตายด้วยโรคนิวมอเนีย มันเป็นวิถีของเด็กเล็กที่จะคิดได้ แต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้
เธอต้องรู้สึกแย่แน่ ๆ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้น
เธอชอบผมมากๆ ผมหมายถึงเธอติดผมแจ เธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมไม่สามารถสลัดความคิดนั้นออกจากสมองได้
สุดท้ายผมคิดถึงภาพอะไรก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ผมนึกภาพว่าผมจะดอดไปบ้านและไปหาเธอบ้าง ในกรณีที่ผมตายไปแล้ว ผมมีกุญแจบ้านติดตัวอยู่แล้ว ผมยังวาดภาพว่าผมจะทำอะไร ๆ บ้าง ผมก็จะแวะไปดูอพาร์ตเมนต์อย่างเงียบ ๆ และก็แอบหยอกเย้าเธอเล่น
มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเป็นกังวลก็คือประตูหน้าต่างห้อง มันส่งเสียงลั่นเอี้ยดอ้าดอย่างกับอะไรดี เป็นอพาร์ตเมนต์โทรมๆ คนดูแลก็แสนขี้เกียจมหาวายร้าย ทุกอย่างมันส่งเสียงเสียดหูเสมอ ผมเกรงว่าพ่อแม่จะได้ยินตอนผมแอบเข้าไป แต่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลองดูสักครั้ง
ดังนั้นผมรีบเผ่นออกจากสวนสาธารณะแล้วกลับบ้าน ผมเดินไปตลอดทาง มันไม่ไกลนักหรอก แล้วผมก็ยังไม่อ่อนล้าหรือเมาอีกแล้ว เพียงแต่ว่าหนาวเย็นยะเยือกและไร้ผู้คนเท่านั้น