ตอน21
สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมเจอในรอบปี
ตอนผมกลับบ้านคืนนั้น พีท เด็กเฝ้าหน้าลิฟต์ไม่ได้อยู่เฝ้าเช่นเคย มีคนใหม่ที่ผมไม่เคยเห็นมาอยู่แทน
ผมนึกออกเลยว่าถ้าไม่ได้ไปเดินชนเข้าพ่อแม่อย่างจังแล้ว ผมก็คงกล่าวทักทายโฟบี้ แล้วก็หลบออกไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่าผมอยู่แถวนั้น มันเป็นห้วงเวลาแห่งความตื่นเต้นจริง ๆ จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกที่คนเฝ้าลิฟต์ไปอยู่ในจุดมุมอับ
ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติให้พาขึ้นไปชั้นที่ครอบครัวดิกสไตน์ส พักอยู่ พวกดิกสไตน์มีห้องพักอพาร์ตเมนต์ชั้นเดียวกับเรา ผมก็ถอดหมวกล่าสัตว เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย แล้วผลุนผลันเข้าไปในลิฟต์ราวกับมีเรื่องรีบร้อนใจ
เขาจัดการปิดประตูลิฟต์เรียบร้อยและพร้อมจะพาผมขึ้นไป แต่แล้วเขาก็หมุนตัวกลับมา พูดขึ้นว่า “พวกเขาไม่ได้อยู่ที่ชั้นนั้น พวกเขาไปอยู่ที่งานปาร์ตี้ชั้นสิบสี่”
“ไม่เป็นไร” ผมพูด “ผมจะรอที่หน้าห้องก็ได้ ผมเป็นหลานชายของเขาน่ะ”
เขามองผมด้วยสายตาระแวงเข้าแล้ว “คุณควรจะอยู่ที่ล็อบบี้นะ” เขาเอ่ยขึ้น
“ผมก็อยากจะรอที่ล็อบบี้เหมือนกัน ผมจะรอ” ผมพูด “แต่เท้าผมเคล็ด ผมต้องขอให้มันหายเคล็ดขัดยอกก่อน ผมคิดว่าจะรอที่เก้าอี้หน้าห้องจะดีกว่า”
เขาไม่รู้หรอกว่าผมพูดเรื่องอะไร จึงพูดว่า “โอว” แล้วพาผมขึ้นไป
ไม่เลวใช่มั้ย ไอ้หนูเอ๊ย มันช่างตลกนะ คุณเพียงพูดอะไรก็ได้ที่ไม่มีใครเข้าใจ พวกนี้จะทำตามอย่างขะมักเขม้น ตามที่คุณต้องการเลย
ผมออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นที่ครอบครัวผมอาศัยอยู่ ทำทีเดินกะเผลกราวกับลูกหมาน้อย ไปตามทางเดินทางด้านห้องพักของครอบครัวดิกสไตน์ส
จากนั้นพอคล้อยหลังเสียงปิดประตูลิฟต์ ผมหันกลับเดินย่องไปทางด้านที่ครอบครัวของผม ทำอย่างเงียบกริบไม่มีท่าทีมึนเมาอีกเลย แล้วล้วงกุญแจออกมาไขประตูห้องพักอย่างเงียบเชียบที่สุด จากนั้นก็เข้าไปข้างในปิดประตูห้องอย่างระมัดระวังที่สุด ผมเหมาะที่จะเป็นพวกหัวขโมยจริง ๆ
มันมืดสนิทมากในห้องซึ่งปกติก็เป็นอย่างนั้น ผมจะเปิดไฟสว่างไม่ได้ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ไม่เดินไปชนกระแทกกับสิ่งใด หรือทำของหล่นดังโครมคราม ผมรู้ดีว่าอยู่ในบ้านแล้ว ห้องของเรามีกลิ่นเฉพาะไม่เหมือนที่ไหน ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง แต่คุณจะรู้สึกคุ้นเคยบ้านของตัวเองเสมอ
ผมถอดเสื้อโค้ตออกจัดการแขวนในที่สำหรับแขวนเสื้อโค้ต แต่มันเต็มหมดแล้ว เมื่อตอนเปิดประตู ผมจำเป็นต้องวางเสื้อลงแล้วก็เดินย่องอย่างเนิบช้าไปที่ห้องของโฟบี้
ผมรู้ว่าแม่บ้านไม่ได้ยินเสียงผมหรอก เพราะเธอหูหนวกข้างหนึ่ง จากการที่น้องชายใช้ฟางข้าวแหย่รูหูตอนที่ยังเป็นเด็กไม่ประสีประสา เธอเคยเล่าให้ฟัง ทำให้เธอหูหนวกข้างเดียว
แต่พ่อกับแม่ของผม โดยเฉพาะแม่ มีหูไวเหมือนสุนัขพันธุ์บลัดฮาวนด์ ดังนั้นผมต้องระมัดระวังอย่างมาก ๆ
ตอนย่างเท้าผ่านห้องของพ่อแม่ผมได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง ให้ตายสิ ใครเอาเก้าอี้ตีศีรษะพ่อผมก็ยังไม่ตื่นเลย แต่กับแม่ผมแล้ว คุณเพียงกระแอมแถวไซบีเรีย แม่ก็ยังได้ยินเลยทีเดียว แม่ประสาทไวมากๆ ตื่นขึ้นมาสูบบุหรี่เกือบตลอดคืน
ในที่สุด หลังจากสักหนึ่งชั่วโมง ผมเข้าไปในห้องของโฟบี้ เธอไม่อยู่ในห้อง ผมลืมไปเลยว่าเธอชอบไปนอนที่ของ ดี.บี. ตอนที่เขาไปอยู่ฮอลลีวูดหรือที่อื่น เธอชอบเพราะว่าห้องกว้างขวางที่สดุในอพาร์ตเมนต์ของเรา ทั้งยังเพราะมีโต๊ะตัวเบ้อเริ่มที่ดี.บี.ซื้อมาจากคุณนายขี้เหล้าในฟิลาเดลเฟีย และเตียงขนาดกว้างราวสักสิบไมล์ผมไม่รู้ว่าไปซื้อมาจากไหน
อย่างไรก็ตาม โฟบี้ชอบนอนในห้องของ ดี.บี. ตอนที่เขาไม่อยู่ และเขาก็อนุญาตให้เธอนอนได้ คุณน่าจะได้เห็นตอนเธอทำการบ้านบนโต๊ะตัวใหญ่นั่น มันแทบจะกว้างพอ ๆ กับเตียงนอน คุณแทบไม่เห็นเธอตอนนั่งทำการบ้าน นั่นแหละแบบที่เธอชอบล่ะ เธอไม่ชอบห้องของตัวเองหรอก เพราะว่ามันแคบเล็กเกินไป เธอว่าอย่างนั้น
เธอบอกว่าชอบที่กว้าง ๆ ท่าจะบ้า ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทำไมโฟบี้ชอบนอนแผ่หราบนเตียงกว้าง ๆ นะ
ผมค่อย ๆ ย่องไปที่ห้องของ ดี.บี. เงียบกริบ แล้วเปิดไฟบนหัวโต๊ะ โฟบี้ไม่รู้สึกตัวตื่นเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ไฟสว่างขึ้น ผมมองดูเธอสักครู่ เธอหลับสนิทเลยจริง ๆ ใบหน้าแนบหมอนข้างหนึ่ง ปากเผยออ้า น่าข้นจริง
ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วดูไม่ได้เลยอ้าปากหวอ แต่กับเด็กๆ แล้วไม่เป็นไรเลยใช่มั้ย เด็กยังไงก็น่ารัก พวกเขาอาจจะหมุนหมอนกลับไปมาทั่วทุกทิศทาง แต่มันก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
ผมเดินไปรอบห้องอย่างเงียบเชียบ สำรวจดูข้าวของสักพัก ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่รู้สึกเหมือนจะเป็นนิวมอเนียอีกเลย กลับรู้สึกสบายขึ้นเสียอีก เสื้อผ้าของโฟบี้วางอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ เตียง เธอเป็นคนเจ้าระเบียบมากสำหรับเด็กวัยแค่นี้
ผมหมายถึงว่าเธอไม่ทิ้งข้าวของไปทั่วห้อง เหมือนเด็ก ๆ บางคนน้ำลายก็ไม่ไหลยืด เธอมีแจ็กเกตสีแทน ที่แม่ซื้อมาจากแคนาดาพาดอยู่บนพนักเก้าอี้ และชุดกระโปรงสิ่งของอื่น ๆ วางอยู่บนที่นั่ง รองเท้ากับถุงเท้าวางอยู่บนพื้นห้อง ใต้เก้าอี้ใกล้ๆกันและกัน
ผมไม่เคยเห็นรองเท้ามาก่อน มันเป็นคู่ใหม่ รองเท้าแบบไม่ผูกเชือก สีน้ำตาลดำ เหมือน ๆ กับของผม และมันเข้าได้กีกับชุดที่แม่ซื้อมาจากแคนาดา แม่แต่งตัวให้เธอดูน่ารักดี เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
แม่ผมมีรสนิยมสุดเลิศในบางเรื่อง แต่เธอใช้ไม่ได้ในเรื่องซื้อรองเท้าสเกตน้ำแข็ง แต่เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์นั้นเธอสมบูรณ์แบบทีเดียว
ผมหมายความว่า โฟบี้มีชุดแต่งตัวที่ทำให้คุณหลงใหลอยู่เสมอ ๆ คุณเปรียบได้แม้กระทั่งเด็ก ๆ ที่พ่อแม่ฐานะร่ำรวยก็ได้ พวกนี้มักมีชุดเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่เสมอ ผมหวังว่าคุณจะได้เห็นโฟบี้แต่งตัวด้วยชุดที่แม่ผมซื้อจากแคนาดาจริง ๆ ผมไม่พูดเล่น
ผมนั่งลงที่โต๊ะของ ดี.บี. ดูสิ่งของบนโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นของโฟบี้ จากโรงเรียน แล้วก็เป็นหนังสือเสียทั้งหมด เล่มที่วางเทินอยู่บนสุดชื่อ คณิตศาสตร์แสนสนุก! ผมเปิดดูหน้าแรก นี่คือสิ่งที่โฟบี้เขียนไว้ :
โฟบี้ เวเธอร์ฟีลด์ คอลฟีลด์
4 บี – ไอ
โธ่เอ๊ย ชื่อกลางของเธอคือ โจเซฟีน จริง ๆ นะ ไม่ใช่ เวเธอร์ฟีลด์ เธอคงไม่ชอบมันแน่ ทุก ๆครั้งที่ผมมาหาเธอ เธอมักจะมีชื่อกลางใหม่เสมอ ๆ
หนังสือเล่มถัดไปอยู่ใต้คณิตศาสตร์คือ ภูมิศาสตร์ ในภูมิศาสตร์เป็น วิธีสะกดคำ เธอเก่งมากในการสะกดคำ เธอเก่งเกือบทุกวิชาแหละ แต่ที่เก่งที่สุดคือการสะกดคำ จากนั้นใต้หนังสือวิธีสะกดคำเป็นกองสมุดจดบันทึก เธอมีราวสักห้าพันเล่มมั้ง คุณไม่มีทางเห็นเด็กคนไหนที่มีสมุดจดบันทึกมากมายมหาศาลอย่างนี้ ผมเปิดดูเล่มหนึ่ง ดูที่หน้าแรก มีข้อความว่า :
เบอร์นิซ พบฉันที่ที่เราแอบซ่อน ฉันมีบางสิ่งสำคัญมากจะบอกเธอ นั่นเป็นข้อความทั้งหมด บนหน้ากระดาษแผ่นนั้น
อีกแผ่นมีข้อความว่า :ทำไมทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอลาสก้ามีโรงงานเครื่องกระป๋องมากมาย? เพราะว่ามันมีปลาแซลมอนมากไง
ทำไมป่ามีคุณค่า?เพราะว่ามันมีสภาพภูมิอากาศดี รัฐบาลของเราดำเนินการอะไรเพื่อให้ชีวิตของชาวเอสกิโมอลาสก้าดีขึ้น
ติดตามต่อวันพรุ่ง – นี้ !!!
โฟบี้ เวเธอร์ฟิลด์ คอลฟีลด์
โฟบี้ เวเธอร์ฟิลด์ คอลฟีลด์
โฟบี้ เวเธอร์ฟิลด์ คอลฟีลด์
โฟบี้ เวเธอร์ฟิลด์ คอลฟีลด์
โฟบี้ เวเธอร์ฟิลด์ คอลฟีลด์
กรุณาส่งต่อเชอร์ลีย์ !!!
เชอร์ลีย์ เธอบอกว่าเธอเป็นคนราศีธนู แต่ราศีพฤกษภของเธอเท่านั้นที่นำสเกตมาให้ ตอนที่เธอมาหาฉันที่บ้าน
ผมนั่งบนโต๊ะของ ดี.บี. และอ่านสมุดจดบันทึกของเธอทั้งหมด มันเสียเวลาไม่มากหรอก ผมอ่านพวกนี้ได้ พวกสมุดโน้ตของเด็กๆของโฟบี้ หรือของเด็กคนไหนก็ได้ ตลอดวันและตลอดคืน
พวกสมุดโน้ตของเด็ก ๆ มันทำให้ผมสนุกแทบบ้าตายแล้วผมก็จุดบุหรี่ขึ้นมวนหนึ่ง เป็นมวนสุดท้ายของที่เหลืออยู่ ผมคงสูบสามซองต่อวัน
จากนั้นในที่สุด ผมก็ปลุกเธอขึ้นจนได้ ผมหมายถึงผมไม่อาจจะนั่งอยู่บนโต๊ะตัวนั้นได้ตลอดชีวิตแน่ อีกอย่างผมกลัวว่าพ่อกับแม่อาจโผล่เข้ามาเจอผมในฉับพลันทันใดและผมต้องการจะกล่าวทักทายเธอเป็นอย่างน้อย ก่อนที่พวกท่านจะเข้ามา ผมเลยปลุกเธอขึ้นมา
เธอตื่นอย่างง่ายดาย ผมหมายถึงไม่ต้องตะโกนเรียกเลย ทั้งหมดที่คุณทำจริงจัง คือนั่งลงบนเตียงและพูด “ตื่นสิ โฟบี้” และแหงล่ะ เธอตื่นแล้ว
“โฮลเด้น” เธอโพล่งออกมา โอบแขนรอบคอผมในทันใด
เธอช่างน่ารักจริง ๆ พับผ่า เธอดูมีเสน่ห์จริง ๆ แบบเด็ก ๆ บางครั้งก็ดูมีเสน่ห์น่ารักมากเกินไปด้วย ผมจูบหอมเธอครั้งแล้วครั้งเล่าและเธอพร่ำพูดว่า
“กลับมาเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย” เธอดีใจเนื้อเต้นที่เห็นผม คุณพูดอย่างนั้นได้เลย
“อย่าเสียงดังสิ เป็นไง น้องเป็นไงบ้างล่ะ”
“สบายดีจ้ะ พี่ได้รับจดหมายของหนูหรือเปล่า หนูเขียนไปตั้งห้าหน้า__”
“ได้รับสิ อย่าเสียงดัง ขอบใจจ้ะ”
เธอส่งจดหมายถึงผม ผมไม่มีโอกาสตอบจดหมายนั้น มันเกี่ยวกับละครที่เธอแสดงขณะอยู่ที่โรงเรียน เธอบอกผมว่าอย่านัดกับใครในวันศุกร์ จะได้มีเวลาไปดูเธอเล่นละคร
“แล้วไปได้สวยหรือเปล่าล่ะ ละคร” ผมถามเธอ “มันชื่ออะไรนะที่น้องบอกพี่”
“ ขบวนคริสต์มาสอันครึกโครมของชาวอเมริกัน’ มันแย่ แต่หนูเป็นเบเนดิคท์ อาร์โนลด์ หนูมีบทค่อนข้างเยอะด้วยล่ะ” เธอตอบ
ไอ้หนูเอ๋ย เธอหายงัวเงียหรือยังนะนี่ เธอมีท่าทีตื่นเต้นมากตอนที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้คุณฟัง
“มันเริ่มต้นตอนหนูกำลังจะสิ้นใจ เจ้าปีศาจตัวนี้ก็โผล่มาในคืนคริสต์มาสอีฟ แล้วถามหนูว่ามีความละอายบ้างมั้ย แล้วก็ให้ทรยศต่อประเทศของหนู พี่จะมาดูหรือเปล่า” เธอผุดลุกนั่งบนเตียง “นั่นแหละที่หนูเขียนไปหาพี่ พี่จะมาหรือเปล่า”
“แน่นอนพี่ไปแน่ ไปดูแน่นอน”
“พ่อไปดูไม่ได้ พ่อจะบินไปแคลิฟอร์เนียพอดี” เธอบอก
ไอ้หนูเอ๋ย เธอหายงัวเงียแล้วหรือมันใช้เวลาเพียงสองนาทีที่จะทำให้เธอหายงัวเงีย เธอนั่งคุกเข่าบนเตียงและกุมมือผม
“นี่ฟังนะพี่แม่บอกว่าพี่จะกลับบ้านวันพุธนี่นา” เธอพูด “แม่บอกว่าวันพุธนี่นา”
“พี่ออกมาก่อน อย่าส่งเสียงดังสิ เดี๋ยวก็ปลุกทุกคนขึ้นมาหรอก”
“เวลาเท่าไหร่แล้ว พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน จนกว่าจะดึก ๆ โน่น แม่บอกว่าไปงานปาร์ตี้ในนอร์วอล์ค คอนเนกติกัต” โฟบี้บอก “เดาสิว่าหนูทำอะไรเมื่อตอนบ่าย หนูดูหนังเรื่องอะไร เดาซิ”
“พี่ไม่รู้หรอก นี่ฟังนะ แล้วพ่อกับแม่ไม่บอกเหรอว่าเมื่อไหร่จะ__”
“เดอะ ด็อกเตอร์” โฟบี้บอก
“เป็นหนังวิเศษจริง ๆ ที่ฉายที่มูลนิธิลิสเตอร์ เขาฉายวันนี้วันเดียว วันนี้วันเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณหมอคนนี้นรัฐเคนตั๊กกี้ที่เอาผ้าห่มคลุมเด็กพิการเดินไม่ได้ แล้วพวกเขาก็ส่งเขาเข้าคุก มันยอดมาก”
“นี่เดี๋ยวนะ พ่อกับแม่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่จะ__”
“เขาก็สำนึกเสียใจที่ก่อเหตุขึ้น คุณหมอคนนี้ นั่นทำไมเขาจึงเอาผ้าห่มคลุมปิดหน้าเด็กและทำให้เธอดิ้นทุรนทุราย แล้วเขาก็ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เด็กคนที่ถูกคลุม ที่คุณหมอเอาผ้าห่มคลุมศีรษะ มาเยี่ยมคุณหมอตลอดเวลาและยังขอบคุณสำหรับสิ่งที่เขาทำลงไป
เขาคือนักฆ่าผู้เปี่ยมไปด้วยความกรุณา เพียงแต่เขารู้ว่าเขานั้นสมควรถูกส่งเข้าเรือนจำ เพราะว่าหมอไม่ได้มีหน้าที่ที่จะแย่งภารกิจนี้ไปจากพระผู้เป็นเจ้า แม่ของอลิซ โฮล์มเบิร์ก เพื่อนร่วมชั้นของหนู พาเราไปดูล่ะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีของหนู เธอเป็นเด็กหญิงคนเดียวในจำนวนทั้งหมด __”
“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งเล่าได้มั้ย” ผมบอก
“พี่ถามน้องสักคำถามนะ พ่อกับแม่บอกน้องหรือเปล่าว่าจะกลับตอนไหน หรือว่าไม่บอกหือ”
“เปล่าจ้ะ แต่คงไม่ดึกมากนักหรอก คุณพ่อขับรถไปเองเลยไม่ต้องกังวลเรื่องรถไฟ ตอนนี้เราติดวิทยุในรถแล้ว เสียแต่ว่าคุณแม่ห้ามใครเปิดตอนที่รถติดแหง็ก”
ผมเริ่มคลายกังวลได้บ้างแล้ว ผมหมายถึงว่าผมเลิกกังวลใจว่าพวกท่านจะจับได้ว่าผมกลับมาถึงบ้านแล้วหรือไม่ ผมนึกถึงแต่เรื่องนี้ ถ้าพวกท่านตั้งใจทำ ท่านก็จะทำแน่
คุณน่าจะเห็นโฟบี้ เธอสวมชุดนอนสีน้ำเงิน มีรูปช้างสีแดงอยู่ที่คอเสื้อ เธอชอบช้างมาก ๆ
“ตกลงมันเป็นหนังน่าดูใช่หรือเปล่า” ผมเอ่ยขึ้น
“ก็ดีนี่ ยกเว้นแต่อลิซเป็นหวัด แม่ของเธอเอาแต่ถามเธอตลอดเวลาว่ารู้สึกคัดจมูกหรือเปล่าในช่วงกลางเรื่อง เกิดขึ้นในตอนกำลังสำคัญช่วงกลางเรื่อง แม่ของอลิซจะชะโงกข้ามหัวหนูไปถามอลิซว่าเป็นไข้หวัดหรือเปล่า ทำให้หนูพลอยเวียนหัวไปด้วย”
ในที่สุดผมก็บอกเธอเรื่องแผ่นเสียง
“นี่น้อง พี่ซื้อแผ่นเสียงให้น้องล่ะ” ผมบอกเธอ “เพียงแต่พี่ทำมันหล่นแตกระหว่างทางกลับบ้าน” ผมล้วงเอาชิ้นส่วนของแผ่นเสียงออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตให้เธอดู “เดี๋ยวพี่จะปะติดกันให้นะ”
“เอามาให้หนูเลย” เธอพูด “หนูจะเก็บไว้เอง” เธอหยิบชิ้นส่วนแผ่นเสียงไปจากมือผมและเก็บใส่ลิ้นชักโต๊ะหัวเตียง โอยจะบ้าตาย
“ดี.บี.จะกลับบ้านช่วงคริสต์มาสหรือเปล่า” ผมถาม
“อาจกลับหรือไม่กลับก็ได้ แม่บอกว่าตามใจ พี่ดี.บี.อาจจะอยู่ที่ฮอลลีวูดและเขียนบทหนังเรื่องแอนนาโพลิส มั้ง”
“แอนนาโพลิส ให้ตายสิ”
“มันเป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆอะไรทำนองนี้แหละ ทายสิว่าใครจะเล่นเรื่องนี้ ดาราคนไหน ทายสิ”
“พี่ไม่สนใจหรอก แอนนาโพลิส ผ่าสิ พี่ดี.บี.จะรู้อะไรเกี่ยวกับแอนนาโพลิส ปัดโธ่ มีอะไรน่าสนใจนักล่ะในเรื่องที่เขาเขียน” ผมพูด ไอ้หนูเอ๋ย เรื่องพวกนี้มันทำให้คลื่นไส้จังเลย ฮอลลีวูดเฮงซวยล่ะไม่ว่า
“แล้วน้องทำอะไรกับแขนมาล่ะนั่น” ผมถามเธอ ผมสังเกตเห็นเธอปิดพลาสเตอร์ยาตรงข้อศอกแผ่นใหญ่ที่ผมสังเกตเห็นมันเพราะชุดนอนของเธอไม่มีแขนเสื้อนั่นเอง
“เคอร์ติส ไวน์โทรบ เด็กผู้ชายที่เรียนห้องเดียวกับหนูน่ะสิ ผลักหนูตอนลงบันไดที่สวนสาธารณะ” เธอบอก
“อยากเห็นมั้ย” เธอพยายามจะลอกแผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลออกจากข้อศอกให้ดู
“ช่างมันเถอะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ทำไมเขาผลักน้องตกบันไดล่ะ”
“หนูไม่รู้สิ เขาคงไม่ชอบหนูมั้ง” โฟบี้บอก
“เซลม่า แอดเตอร์เบอร์รี่ เด็กผู้หญิงอีกคนกับหนูสาดน้ำหมึกรดหมวกบังลมของเขาแหละ”
“นั่นไม่ดีเลย น้องเป็นเด็กยังไงกันนะเนี่ย พับผ่าเถอะ”
“ไม่เลย แต่ทุกครั้งที่หนูไปสวนสาธารณะ เขาคอยตามหนูไปทุกแห่ง ติดตามหนูตลอดแหละเขาทำให้หนูรำคาญน่ะ”
“เขาอาจจะชอบน้องก็ได้นะ นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะสาดน้ำหมึก__”
“ก็หนูไม่ต้องการให้เขามาชอบหนูนี่นา” เธอพูด แล้วเธอก็จ้องมองผมแบบยิ้ม ๆ “โฮลเด้น” เธอเอ่ย “ทำไมพี่ไม่กลับบ้านวันพุธล่ะ”
“อะไรนะ”
ไอ้หนูเอ๋ย คุณต้องจับจ้องเธอทุกนาที ถ้าคุณคิดว่าเธอไม่ฉลาดล่ะก็ คุณนั่นแหละท่าจะบ้า
“ทำไมพี่ไม่กลับบ้านวันพุธล่ะ” เธอถามย้ำ
“พี่ไม่ใช่ถูกไล่ออกอีกนะ ใช่เปล่า”
“พี่บอกน้องแล้วไง เขาให้เรากลับเร็วขึ้นอีก เขาอนุญาตทั้งหมด__”
“พี่โดนไล่ออก ใช่เลย”
โฟบี้พูด แล้วเธอก็ชกเข้าที่ขาของผม เธอชกแรงมากถ้าเธอรู้สึกอยากชก “ใช่แน่เลย โอ้ โฮลเด้น” เธอป้องปาก เธอมีอารมณ์หวั่นไหวสาบานได้เลย
“ใครบอกว่าพี่โดนไล่ออก ไม่มีใครสักคนบอกว่าพี่__”
“พี่โดนไล่ออกแน่ โดนแน่”
เธอพร่ำอีก แล้วก็ชกท้องผมอีกด้วยกำปั้นเล็ก ๆ ถ้าคุณคิดว่าไม่เจ็บก็บ้าไปแล้ว
“พ่อจะฆ่าพี่แน่” เธอพูด แล้วเธอก็นอนคว่ำบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอน เธอทำแบบนี้บ่อย ๆ ดูเหมือนคนเสียสติในบางครั้ง
“เลิกพูดเลย เดี๋ยวนี้” ผมสั่ง
“ไม่มีใครมาฆ่าพี่หรอก ไม่มีใครแม้แต่__เอาน่า โฟบ เอาหมอนออกจากหน้าเลย ไม่มีใครจะมาฆ่าพี่หรอก”
เธอไม่ยอมเอาหมอนออกจากใบหน้า คุณไม่สามารถบังคับเธอได้ ถ้าไม่อยากทำ เธอเอาแต่พร่ำว่า “พ่อจะฆ่าพี่เลย” คุณแทบจะไม่เข้าใจที่เธอพูดโดยมีหมอนปิดใบหน้าอยู่
“ไม่มีใครจะมาฆ่าพี่หรอกน่า ใช้หัวคิดของเธอบ้างสิ ประการแรก พี่จะไปเสีย พี่อาจจะหางานทำในไร่ปศุสัตว์หรือทำอะไรสักระยะหนึ่ง พี่รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่ปู่ของเขาเป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์ในโคโลราโด พี่อาจจะได้งานทำที่นั่นก็ได้” ผมบอก
“พี่จะติดต่อเธอตลอดเลย ถ้าพี่ไปนะ เถอะน่าเอาหมอนออกจากหน้าได้แล้ว เอานี่ โฟบ ขอร้องแล้วกัน ได้โปรดเถอะ”
เธอไม่ยอมเอาหมอนออกจากใบหน้า ผมพยายามยื้อดึงออก แต่เธอมีแรงขัดขืนอย่างมหาศาล คุณต้องเหนื่อยแน่ถ้าต่อสู้กับเธอ ไอ้หนูเอ๋ย ถ้าเธออยากจะเอาหมอนโปะหน้า เธอก็จะทำ
“โฟบี้ ได้โปรด เอาหมอนออกเถอะ” ผมร้องบอก “ขอร้องล่ะ นี่__คุณเวเธอร์ฟิลด์ เลิกปิดหน้าซะที”
เธอไม่ยอมแย้มหน้าเลยแม้แต่น้อย คุณจะเอาเหตุผลอะไรกับเธอไม่ได้หรอกในบางครั้ง
สุดท้ายผมลุกขึ้นและออกไปจากห้องนั่งเล่น ดึงบุหรี่ออกจากกล่องที่วางบนโต๊ะ และกำบุหรี่จำนวนหนึ่งใส่กระเป๋า ผมไม่มีบุหรี่เหลือสักมวน