Tuesday, December 3, 2024
More
    Homeเรื่องสั้น-วรรณกรรมวรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน8

    วรรณกรรมแปล “ผู้พิทักษ์ทุ่งข้าวไรย์” ตอน8

    ตอน8

    มันดึกเกินกว่าจะหารถแท็กซี่สักคัน

    ผมจึงเดินไปตามทางจนถึงสถานีรถไฟ มันไม่ไกลเท่าไหร่นัก แต่มันหนาวยะเยือกราวขุมนรกไม่ปาน หิมะหนาทำให้ก้าวย่ำลำบาก กระเป๋าหนังสองใบก็กระแทกขาทั้งสองของผม ถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกสบายดีกับอากาศอย่างนี้

    สิ่งที่แย่อย่างเดียวคือความหนาวเย็นทำให้จมูกผมเจ็บแปลบ ตรงใต้ริมฝีปากบนที่เจ้าสแตรดเลเตอร์ทิ่มใส่ผม มันกระแทกริมฝีปากขบกับฟันเจ็บแสบพอดู ส่วนใบหูยังดีและอบอุ่นหมวกที่ผมใส่มีที่ปิดบังใบหูด้วย ผมปลดมันลงมาปิดหู ผมไม่สนใจหรอกว่าจะดูพิลึกยังไง ไม่มีใครอยู่แถวนี้ ทุกคนขดอยู่ใต้ผ้าห่มแสบอบอุ่น

    ผมค่อนข้างโชคดีเมื่อไปถึงสถานีรถไฟ เพราะผมรอแค่สิบนาทีรถไฟก็มา ระหว่างรอรถไฟผมถือก้อนหิมะเอามาล้างหน้า ยังมีเลือดติดอยู่ด้วยนิดหน่อย

    ปกติผมชอบนั่งรถไฟ โดยเฉพาะเที่ยวกลางคืน ที่เปิดไฟส่องสว่างและหน้าต่างดูสกปรกดำ ๆ และมีคนขึ้นมาขายกาแฟกับแซนด์วิชและหนังสือนิตยสารต่าง ๆ ผมชอบซื้อแซนด์วิชใส่แฮมกับนิตยสารสักสี่เล่ม ถ้าผมต้องเดินทางตลอดคืน ผมสามารถอ่านนิยายเรื่องหนึ่งในนิตยสารโดยไม่ต้องหยุดพัก

    คุณรู้มั้ยเรื่องหนึ่งในนั้่นเต็มไปด้วยการโกหกปลิ้นปล้อน หนุ่มขากรรไกรยื่นนามว่าเดวิดในเรื่องนั้นและหญิงสาวจอมตอแหลชื่อลินดาหรือมาร์เซีย มักจุดไปป์ให้เจ้าเดวิดเสมอ ๆ ผมอ่านเรื่องพวกนี้บนรถไฟได้เป็นปกติดี

    แต่ช่วงเวลานี้มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ผมยังไม่มีอารมณ์อยากอ่านหนังสือ เอาแต่นั่งไม่ทำอะไร สิ่งที่ทำก็เพียงถอดหมวกยัดใส่กระเป๋าเท่านั้นแหละ

    ตลอดทางมีคุณผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นจากสถานีเทรนทัน แล้วนั่งติดกับผม ทั้ง ๆ ที่ทั่วขบวนมีที่นั่งว่างถมเถ เพราะเป็นช่วงดึกมากแล้ว แต่เธอก็ยังมานั่งติดๆกับผม แทนที่จะนั่งที่นั่งว่าง ๆ เพราะว่าเธอมีกระเป๋าใบเขื่อง และผมนั่งบนที่นั่งตอนหน้า เธอดันกระเป๋าไปอยู่ตรงกลางช่องทางเดินในที่ ๆ พนักงานเก็บตั๋วต้องขึ้นไปยืนบนกระเป๋า เธอมีดอกกล้วยไม้กลัดติดเสื้อด้วยเหมือนกับไปงานสังสรรค์ใหญ่ ๆ ที่ไหนมาสักแห่ง

    อายุเธอราวสี่สิบหรือสี่สิบห้า ผมเดา แต่เธอดูดีมาก ชวนให้หลงใหลเลยล่ะ เป็นอย่างน้้นจริง ๆ ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นพวกบ้าเซ็กซ์นะ ถึงแม้ว่าผมก็เป็นคนเซ็กซี่คนหนึ่งก็ตาม ผมชอบแบบนี้ พวกเธอมักวางกระเป๋าเดินทางไว้ตามช่องทางเดิน

    เรานั่งอยู่อย่างนั้น ทันใดเธอก็เอ่ยกับผม

    “โทษทีนะ นั่นใช่สติ๊กเกอร์ของโรงเรียนเพนซี่ เพรพ หรือเปล่า” เธอเงยหน้าขึ้นมองกระเป๋าของผมที่อยู่บนชั้นวางสัมภาระเหนือศีรษะ

    “ใช่ครับ” ผมตอบ เธอพูดถูกเผง ผมติดสติ๊กเกอร์ของโรงเรียนบนกระเป๋าหนังใบหนึ่ง มันทุเรศจัง ผมยอมรับ

    “อ้อ เธอเรียนที่เพนซี่เหรอ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะแท้เหมือนเสียงในสายโทรศัพท์หรือเธอถือโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยตลอด

    “ใช่ครับ” ผมตอบ

    “โอ๊ะ ดีจัง บางเธออาจจะรู้จักลูกชายของฉันก็ได้นะ เออร์เนสต์มอร์โรว์ เขาเรียนที่เพนซี่ล่ะ”

    “ครับผมรู้จัก เรียนชั้นเดียวกับผม”

    ลูกชายของเธอเป็นไอ้เลวมหาวายร้ายเท่าที่เคยเจอในเพนซี่ ในประวัติศาสตร์แสนอัปรีย์ของโรงเรียน มันชอบอยู่บนระเบียง หลังอาบน้ำเสร็จแล้ว สะบัดผ้าเช็ดตัวไล่ฟาดคนอื่นอยู่นั่นแหละนิสัยเลวๆ ของมัน

    “โอ ดีจังเลย” คุณนายพูด ไม่ได้เสแสร้ง เธอดูโอบอ้อมอารีโดยแท้“ฉันจะเล่าให้เออร์เนสต์ว่าเราเจอกันนะ” เธอบอก “ถามหน่อยนะเธอชื่ออะไรกันล่ะจ๊ะ”

    “รูดอล์ฟ ชมิดท์” ผมบอกเธอ ไม่อยากเผยประวัติของผมให้เธอรู้ทุกอย่างหรอกนะ รูดอล์ฟ ชมิดท์เป็นชื่อของภารโรงที่หอพักของเราต่างหาก

    “เธอชอบเพนซี่มั้ย” เธอถามผมอีก

    “เพนซี่เหรอฮะ ก็ไม่ได้แย่อะไร และก็ไม่ใช่แดนสวรรค์หรอกแต่ก็เหมือน ๆ กับโรงเรียนส่วนใหญ่ อาจารย์ก็มีความรับผิดชอบมาก”

    “เออร์เนสต์นี่หลงใหลเอามากเลยล่ะ”

    “ผมทราบดีครับ” ผมพูด แล้วผมก็เริ่มปั้นแต่งเรื่องทีละน้อย“เขาปรับตัวเข้ากับอะไร ๆ ได้ง่าย จริง ๆ นะครับ เขารู้ดีว่าจะปรับตัวเองอย่างไรครับ”

    “อย่างนั้นเหรอ” เธอถามผม “ช่างน่าสนใจเอาซะจริงเชียว”

    “เออร์เนสต์เหรอ แน่นอนสิครับ” ผมตอบ แล้วเธอก็ถอดถุงมือออก ไอ้หนูเอ๋ย

    “ฉันทำเล็บขบ ตอนลงจากแท็กซี่” เธอบอก จ้องมองผมและยิ้มเล็กน้อย เธอมีรอยยิ้มพิมพ์ใจ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คนส่วนมากแทบไม่ค่อยยิ้มเลยหรือไม่เอาไหนเลยสักคน

    “พ่อของเออร์เนสต์และฉันเป็นห่วงตัวเขาบ้างเหมือนกัน” เธอพูดว่า “เรารู้สึกว่าเขาเข้ากับคนอื่น ๆ ไม่ดีนัก”

    “หมายความว่ายังไงครับ” ผมข้องใจ

    “เขาเป็นคนอ่อนไหวมาก คงไม่สามารถเข้ากับเด็กคนอื่น ๆ ได้ บางทีเพราะเขาค่อนข้างซีเรียสกับสิ่งต่าง ๆ มากเกินอายุแล้วก็เป็นได้นะใช่เปล่า”

    ค่อนข้างอ่อนไหวนะหรือ โธ่เอ๋ย ไอ้มอร์โรว์นะหรือคนอ่อนไหว เหมือนกับโถส้วมล่ะไม่ว่า​ผมสังเกตดูเธอโดยละเอียดไม่มีอะไรที่เธอปิดบังผม เธอช่างเหมือนว่าภาคภูมิใจที่เป็นแม่ของไอ้สารเลวเหลือเกิน แต่คุณจะพูดความจริงกับแม่ของเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้หรอก แม่ทุกคนล้วนแต่จะประสาทเสียกับลูก อีกอย่างหนึ่งผมก็ชอบแม่ของไอ้มอร์โรว์ เธอดูเป็นคนดีจริง ๆ นะ

    “เป็นไรมั้ยครับ ถ้าผมขอสูบบุหรี่สักมวนหนึ่ง” ผมขออนุญาตเธอ

    “ใช่แล้วครับ เราสูบได้จนกว่าจะมีใครโวยวายใส่เรา” ผมบอก พร้อมกับยื่นให้เธอดึงบุหรี่ไปมวนหนึ่ง ผมจุดไฟแช็กให้

    เธอดูดีขณะสูดควันบุหรี่ฟืด แต่ไม่ถึงกับอัดควันเข้าปอดเต็มที่อย่างที่ผู้หญิงวัยเดียวกับเธอชอบทำ เธอมีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่น้อยค่อนข้างเป็นเสน่ห์ทางเพศด้วย ถ้าคุณอยากรู้จริง ๆ

    เธอมองผมท่าทีขัน ๆ “ใช่หรือเปล่า จมูกเธอมีเลือดไหลน่ะ” เธอพูดในทันใดที่เห็นชัด

    ผมผงกศีรษะรับ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา “ผมโดนขว้างด้วยก้อนหิมะน่ะ” ผมตอบ “ก้อนแข็งเหมือนน้ำแข็งเลยเชียวล่ะ”

    ผมอยากบอกความจริงให้เธอรู้เดี๋ยวนั้น แต่มันจะเสียเวลาไปเปล่าๆ ผมชอบเธอ ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่บอกไปว่าผมชื่อรูดอล์ฟ ชมิดท์“เออร์นี่” ผมพูด “เขาเป็นคนป๊อปปูล่าร์มากที่เพนซี่ คุณไม่ทราบเลยหรือครับ”

    “ไม่นะ ไม่เคยได้ยินเลยจ้ะ”

    ผมพยักหน้าอีก “ต้องใช้เวลากว่าที่จะเข้าใจตัวตนของเขาเขาเป็นคนอารมณ์ดีจริง ๆ เป็นคนแปลกในหลายแบบ เข้าใจมั้ยครับ อย่างครั้งแรกที่เจอเขา ผมคิดว่าเขาหยิ่งจองหอง แต่เปล่าเลย เขามีบุคลิกภาพที่ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยจึงจะรู้จักตัวตนแท้จริงของเขา”

    คุณนายมอร์โรว์ไม่พูดอะไร

    เจ้าประคุณเอ๋ย คุณน่าจะได้เห็นเธอ ราวกับถูกตรึงติดกับเก้าอี้นั่ง แค่คุณเพียงทำให้แม่ของเพื่อนได้ยินว่าลูกชายเป็นคนยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบแค่ไหนเท่านั้นเอง

    แล้วผมก็สนุกต่อไปอีกเรื่อย ๆ “แล้วเขาเล่าเรื่องเลือกตั้งให้ฟังบ้างหรือเปล่าครับ” ผมถาม “เลือกตั้งในชั้นเรียนไงล่ะครับ”

    เธอสั่นศีรษะ ผมสะกดเธอได้เหมือนขณะไปนั่งรวมกับคนเข้าฌานสมาธิได้ขนาดนั้นเลยล่ะ

    “เอ่อ กลุ่มของเราต้องการเลือกเออร์นี่เป็นประธานของชั้น ผมหมายถึงว่าเราลงคะแนนเป็นเอกฉันท์เลย เขาเป็นคนเดียวในชั้นเรียนที่รับมือกับกิจกรรมทุกอย่างได้” ผมบรรยาย ไอ้หนูเอ๋ย ผมนี่โม้มากไปหรือเปล่า “

    แต่มีเด็กอีกคนหนึ่งชื่อ แฮร์รี่ เฟนเซอร์ ได้รับเลือกแทน เหตุที่เขาได้รับเลือกตั้ง เป็นเรื่องธรรมดา ๆ มาก เพราะเออร์นี่ไม่ยอมให้เราส่งเขาไปเป็นตัวแทนสมัครเลือกตั้งประธานนักเรียน เพราะเขาเป็นคนขี้อายและขวยเขินมาก เขาจึงตอบปฏิเสธ__ไอ้หนูเอ๊ย เขาช่างขึ้อายจริง ๆ คุณต้องพยายามทำให้เลิกเป็นคนขี้อายนะครับ”

    ผมจ้องเธอที่เบือนหน้าหลบ “นี่เขาไม่ได้เล่าให้คุณฟังเลยหรือครับ”

    “ปละ…เปล่าเลยจ้ะ”

    ผมผงกศีรษะอีก

    “นั่นล่ะ เออร์นี่ เขาไม่ยอมลงเลือกตั้ง นั่นล่ะข้อเสียของเขา เขาขี้อายเกินไป คุณควรให้เขาได้พักผ่อนทำตัวตามสบาย ๆ บ้างนะครับ”

    ถัดมาพนักงานตัดตั๋วเดินมาตัดตั๋วโดยสารของคุณนายมอร์โรว์ เป็นจังหวะดีที่ช่วยให้ผมหยุดพล่ามปั่้นน้ำเป็นตัวได้ ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้คุยโม้บ้าง คุณได้เล่นงานให้คนอย่างเจ้ามอร์โรว์ที่มันชอบไล่ฟาดก้นคนอื่นด้วยผ้าเช็ดตัวได้อย่างแสบสันต์ มันไม่ใช่แค่เลวตอนเด็ก ๆ แค่นั้นนะ ไอ้นี่มันเลวตลอดชีวิตของมันเลยล่ะ

    พนันกันมั้ย เรื่องที่ผมโกหกขี้น คุณนายมอร์โรว์ต้องเก็บเอาไปคิดว่าลูกชายแสนดีของเธอเป็นคนขี้อาย ถ่อมตัว ไม่ยอมให้เพื่อนส่งเป็นตัวแทนสมัครเลือกตั้งประธานนักเรียน น่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าไม่ได้คุณแม่มักตามไม่ค่อยทันไอ้เรื่องแบบนี้

    “คุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าจะจิบค็อกเทลบ้าง” ผมถาม ผมชักอยู่ในอารมณ์อยากดื่มเสียแล้วล่ะ “เราไปที่ตู้เสบียงกันดีมั้ยครับ”

    “นี่เธอดื่มได้หรือจ้ะ” เธอถาม ไม่ได้ส่ออาการหงุดหงิดอะไรเธอมีเสน่ห์งดงามเกินกว่าจะหงุดหงิดอะไรง่าย ๆ

    “ความจริงก็ไม่เชิงครับ แต่ผมก็พอจะได้รับอนุญาตให้ดื่มได้นิดหน่อย เพราะความสูงของผม” ผมพูด “แล้วผมยังมีผมสีเทาแซมอีกด้วย” ผมหันด้านข้างศีรษะให้เธอดูเส้นผมสีเทา มันทำให้เธอชอบใจมาก “มาเถอะ ทำไมไม่ไปดื่มกันบ้างล่ะ” ผมชวน รู้สึกสนุกที่มีเธอเป็นเพื่อนร่วมทาง

    “ฉันว่าไม่…จะดีกว่า ขอบใจเธอมาก ๆ นะ” เธอตอบ “แล้วตู้เสบียงก็คงจะปิดแล้ว มันดึกมากไม่ใช่เหรอ” เธอพูดถูก ผมลืมไปแล้วว่านี่กี่โมงกี่ยาม

    แล้วเธอจ้องมองผมและถามในเรื่องผมกลัวนักว่าเธอจะถาม

    “เออร์เนสต์เขียนมาบอกว่าจะกลับบ้านวันพุธ ช่วงเทศกาลหยุดคริสต์มาส” เธอบอก

    “หวังว่าเธอคงไม่ถูกทางบ้านโทรตามกระทันหันให้รีบกลับ เพราะมีใครที่บ้านป่วยหรอกนะ” เธอดูเป็นห่วงเรื่องนี้เสียจริง ๆ เธอไม่ได้ยุ่งเรื่องส่วนตัวผมหรอก บอกได้เลย

    “เปล่าครับ ทางบ้านสบายดีกันทุกคนครับ” ผมตอบ “ผมต่างหากที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด”

    “โอ๊ะ ขอโทษนะ” เธอรีบตอบ ผมเสียใจที่โกหก แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

    “ก็ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นชิ้นเนื้องอกเล็กๆ ในสมองแค่นั้นเอง”

    “โอว ไม่นะ ขนาดนั้นเชียวเหรอ” เธอมีท่าทางตกใจเอามือป้องปาก

    “ผมจะต้องหายหรอกครับ ไม่ต้องห่วงครับ มันอยู่ใกล้ผนังชั้นนอก แค่ก้อนเล็ก ๆ หมอผ่าเอาออกได้ในสองนาทีเท่านั้นเอง”

    แล้วผมก็หยิบตารางเวลาเดินรถมาดู เพียงเพื่อหาทางหยุดโกหกพกลมเสียที

    ถ้าได้เริ่มโกหกเมื่อไหร่ ผมจะสามารถเล่าเป็นตุเป็นตะยืดยาวนับชั่วโมงๆเลยทีเดียว ยิ่งถ้าอยู่ในอารมณ์สนุกล่ะก้อ…ไม่ล้อเล่นนะ ผมเล่ายาวพรืดหลายชั่วโมงได้เลยล่ะ

    เราไม่ได้สนทนาอะไรกันอีกหลังจากเรื่องนี้ เธอหยิบนิตยสารโวคที่ถือติดมือขึ้นมาอ่าน ผมมองออกไปนอกหน้าต่างชั่วครู่ เธอลงที่สถานีเนวาร์ค อวยพรให้ผมโชคดีในการผ่าตัดเนื้องอก

    เธอยังคงเรียกผมว่า รูดอล์ฟ แล้วยังเชื้อเชิญให้แวะไปเยี่ยมเออร์นี่ช่วงซัมเมอร์นี้ด้วย ที่โกลเชสเตอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เธอบอกว่าบ้านอยู่บนชายหาดเลยทีเดียว แถมมีคอร์ตเทนนิสด้วย

    ผมได้แต่บอกขอบคุณ และว่าจะไปเที่ยวอเมริกาใต้กับคุณย่า

    นี่เป็นเรื่องยกเมฆสุดบรรลัยเลยเพราะย่าผมแทบจะไม่เคยย่างกรายออกจากบ้านไปไหนเลย นอกจากว่าไปจิบมาร์ตินี่แค่นั้นเอง

    แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่มีวันจะไปเยี่ยมไอ้ลูกหมามอร์โรว์แน่นอน แม้ว่ามันจะร่ำรวยมหาศาลแค่ไหน ในยามที่ผมตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวก็ตาม

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments