Monday, November 25, 2024
More
    Homeแม่บ้านตำรวจสยมพร ไทยวัฒน์ พยาบาลหัวใจแกร่ง

    สยมพร ไทยวัฒน์ พยาบาลหัวใจแกร่ง

     

    คุณยุ้ย-สยมพร ไทยวัฒน์ Senior Manager รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์ คู่ชีวิตผกก.เอ๋-พ.ต.อ.วุฒิชัย ไทยวัฒน์ ผกก.สน.เพชรเกษม

    สาวใต้ยะลา มาโตกรุงเทพ จบวิทยาลัยพยาบาลมิชชั่น สะพานขาวตามใจคุณพ่อ ส่วนเบื้องหลังชีวิตคู่ นับว่ามาแปลกแหวกแนว เพราะทั้งคู่รู้จักกันในสมััยฝ่ายชาย ยังเป็น นรต.ปี1 ส่วนฝ่ายหญิงยังเรียนพยาบาล ปี 2 พรมหมลิขิตกำหนดชีวิตรัก ด้วยการดลจให้คุณยุ้ย เอา ว.มือถือเพื่อนที่เป็นตำรวจไป ว.เล่นที่บ้านสุขาภิบาล 1 เปิดแค่แว็บเดียว ก็เจอกับฝ่ายชายที่ชักเสาเล่น ว.ที่บ้านลาดพร้าว 71 คุยกันก่อนฝ่ายชายจะขับรถบุกมาถึงบ้าน แต่ก็ยังไม่ได้เจอกันในทันที เพราะที่บ้านฝ่ายหญิงสติ๊กมาก แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มให้ทั้ง 2 คนรู้จักได้ครองรักกันมาจนถึงขนาดนี้

      คบหาดูใจ 12 ปีถึงได้แต่ง
    “ยุ้ย เรียนจบก่อนปีหนึ่ง ก็ผูกสัมพันธ์กัน12 ปีได้ ถึงจะแต่งงานในปี 2547 ย้อนไปตอนที่เขาเป็นนายร้อย เวลาเขาออกจากโรงเรียน วันเสาร์ ก็จะไปดูหนัง ไปทานไอศกรีมซเวนเซ่นกัน วันอาทิตย์ ก็ไปส่งเขาขึ้นรถเข้าโรงเรียน ตรงโรงเรียนอนุบาล ที่ รพ.ราชวิถี จะมีรถบัสคันใหญ่ที่เขาจะรับนายร้อยกลับสามพราน ทุกวันอาทิตย์ แล้วเราก็จะกลับมิชชั่น บางทีเขาถูกกัก เราก็จะไปเยี่ยม ซื้อการ์ตูนผู้ชายไป พวกดราก้อนบอล อะไรอย่างนี้ ก็เห็นเขาเจริญเติบโตในหน้าที่ราชการมาตั้งแต่เป็นนักเรียน……”คุณยุ้ยย้อนอดีตรักวันวาน

    ชีวิตคู่หลังแต่งแทบจะไม่ได้คุยกัน
    ตอนที่คบกัน ก็รู้สึกว่าอาชีพนี้ เนื้อหอม มีผู้หญิงเข้ามารายล้อมง่าย ก็ต้องแยกแยะ ช่วงแรก ที่ยังไม่แต่งงาน อยู่คนละที่ ถ้าเขากลับถึงบ้าน จะต้องโทร.บอกยุ้ย ทุกครั้ง ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ตี 1 ตี 2 จะต้องโทร.บอก จะไปงานเลี้ยงอะไรยังไงก็แล้ว แต่พอแต่งงานกันเมื่อปี 2547 เขาเป็น พ.ต.ต. ตำแหน่ง สวป.อยู่ที่โคกคราม วิถีชีวิตก็แทบจะสวนกระแส แทบจะไม่ได้เจอ ชีวิต สวป.ทำงานดึก สวนกระแส กับอาชีพพยาบาล คือของยุ้ย จะเลิกงาน 5 โมงเย็น แล้วก็กลับบ้าน แต่ก็เขาก็ยังไม่กลับ เขาไปที่ทำงาน จะกลับมาประมาณตี 3-4 ซึ่งเราหลับไปแล้ว เช้าเราตื่น 6 โมงเช้า เขายังไม่ตื่น คือแทบจะไม่ได้คุยกัน ใช้วิธีการสื่อสารก็คือ ต้องเขียนโน้ต สมัยก่อน ไอโฟน ยังไม่มี ไลน์ ยังไม่มี ก็ต้องเขียนโน้ตบนกระดาษอย่างนี้

    เครียด-เวลาสามีเป็นของประชาชน
    ช่วง 3 เดือนแรก หลังแต่งงาน เครียด คือปกติ ตอนที่ยังไม่แต่งงาน ยุ้ยกลับบ้าน ยุ้ยเจอคุณแม่ แต่อันนี้เรากลับบ้าน เราต้องเป็นคนไปเปิดบ้านคนแรก ช่วงแรก เลิกงานปุ๊บยังไม่กลับบ้าน จะไปเดินห้างก่อน เอาให้มืด มืดเสร็จปุ๊บจะกลับเข้าบ้าน ประมาณสัก 2-3 ทุ่ม คือพอขึ้นถึงบ้าน ก็ขึ้นห้องนอน อาบน้ำ นอนเลย เช้าก็ไปทำงาน แต่เขาก็มาตอนดึก เสร็จแล้วก็หลับ ก็จะเป็นอย่างนี้ ก็คิดว่าคิดผิดรึเปล่า ที่เลือกคนที่อยู่ในวิชาชีพตำรวจ เนื่องจากเขาไม่มีเวลาให้เรา เวลาของเขาเป็นของประชาชน แล้วเขาไม่มีเวลาให้ครอบครัว แล้วเราก็รู้สึกว่า เราก็ยังมีคนที่ต้องดูแล หรือว่ามีเพื่อนที่จะได้คุยกัน อันนี้มันดูว้าเหว่ ดูวังเวงไปหมดเลย

    เป็นเมียตำรวจไม่ง่าย
    แตหลังจาก 3 เดือน ก็เริ่มปรับตัว จากที่มาถึงบ้านขึ้นห้องนอนเลย ก็เริ่มนั่งข้างล่างบ้าง เริ่มใช้ชีวิตปกติได้บ้าง ตอนนั้นยุ้ย เป็นหัวหน้างานแล้ว ็เลยได้หยุด เสาร์ อาทิตย์ ก็มีความหวังว่าเขาจะมีเวลาให้เรา ก็มีงานมาแล้ว บางครั้งบอกว่าวันนี้ นายเรียกประชุม ก็เริ่มรู้สึกว่า เวลาใน 7 วัน คือ 5 วัน แทบจะไม่ได้คุยกันแล้ว เขาก็จะมีปฏิสัมพันธ์แบบว่าเห็นหน้ากัน คุยกัน กินข้าวด้วยกัน เสร็จปุ๊บ พออย่างนี้ เสาร์ อาทิตย์ มีงาน นายเรียก มีงานด่วน เริ่มรู้สึกว่า 2 วันหยุด แทบจะไม่เหลือแล้ว ก็เลยเริ่มเครียด รู้สึกว่าการเป็นภรรยาตำรวจ ไม่ง่าย ก็คิดว่าทำไมเราไม่เลือกคนที่ประกอบอาชีพแบบออฟฟิศ ทำงานเลิก 5 โมงเย็น มีวิถีชีวิตเหมือนคนอื่น ก็มีร้องไห้บ้างว่า ไม่มีเวลาให้เลยเหรอ

    ฝ่ายชายพยายามให้เวลาเต็มที่
    แต่เขาก็บอกว่า ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เพราะว่าเขาเป็นตำรวจ เป็นผู้ดูแลประชาชน เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นหน้าที่ มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็จำเป็น แต่เขาพยายามที่จะหาเวลาให้เราให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ก็ต้องหาเวลาที่เรา ถ้าเราหยุด เราก็ไปที่ สน.เขา แต่เราก็จะไม่ไปก้าวก่ายการทำงาน แล้วเริ่มรู้สึกว่า จริงๆ เรานอนอยู่บ้าน เราก็ไม่ไปรบกวนกับงานที่เขาทำจะดีกว่า คนเราถ้าจะมีอะไร ก็ต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน แล้วยุ้ย คิดว่าเราคบกันมาขนาดนี้แล้วตั้ง 12 ปี กว่าที่เราจะแต่งงาน ถ้าอะไรจะเกิดก็คงเกิดขึ้นไปแล้ว ยุ้ยคิดว่าเพื่อนที่มีแฟน เป็นพวกนายร้อย ไม่ว่าจะเหล่าไหนก็ตาม ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนพยาบาล เลิกหมดทุกคู่ เหลือเราคู่เดียว ไม่มีเหลือใครเลย

    พระเจ้าลิขิต ไม่ให้มีบ่วง
    ถึงตอนนี้ 13 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีลูก เพราะประมาณปี 2540 พบว่ามีซีสต์ที่รังไข่ ต้องผ่าตัด หมอบอกว่ามีลูกยากนะ แล้วตอนที่แต่งงาน ก็คอนเฟิร์มกับเขาว่าเรามีลูกยากนะ มั่นใจรึเปล่าที่จะเลือกยุ้ยเป็นภรรยา เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เทคโนโลยีสมัยนี้ น่าจะช่วยได้ เขาไม่ได้คิดว่าจะไม่มี ท้ายที่สุด ก็แต่งงาน พอแต่งงานก็คุยกันว่า 1 ปี ถ้ายังไม่มีลูกเอง ก็พบแพทย์ พอครบ 1 ปี ยังไม่มี ตอนนั้นอายุน่าจะประมาณสัก 33 ก็หาหมอทำตามสเต็ป จากง่ายไปยาก ยากคือให้ใช้ไข่บริจาค ก็คือต้องเอาไข่คนอื่นมาผสมกับสเปิร์มสามีเรา แล้วมาฝังที่เรา ก็คิดว่าถ้าขนาดนั้น ถ้าลำบากก็คิดว่าพระเจ้าเขาลิขิตมาแล้ว ว่าไม่ให้เรามีบ่วง ก็ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าตอนที่ทำกิฟท์แล้วครั้งหนึ่ง

    เสียลูกเสียใจ แต่ไม่ฟูมฟาย
    แม่สามีเขาก็ดีมาก เพราะตอนที่ยังพักฟื้น เพราะฝังตัวอ่อนอยู่ที่ รพ.เอ๋ต้องไปประชุม คุณแม่เขาต้องมาเฝ้า แล้วพอดีว่ายุ้ย เป็นลม พอเป็นลม เหมือนมีอาการปวดท้องจนเป็นลม แม่เขาก็เห็น เห็นว่ามีความทุกข์ทรมาน จากการที่เราพยายามจะมีลูก เขาก็บอกลูกชายเขาว่าถ้าไม่มี ก็ไม่ต้องให้ยุ้ย ทำแล้วล่ะ แม่สงสารเขา แม่ก็บอกเขา แล้วเขาก็เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีให้ได้นะ โน่น นี่ นั่น จริงๆ เขาเป็นลูกคนโต จริงๆ ก็คือ เขาก็คิดหวังว่าถ้ามีหลาน ก็เป็นคนแรกของครอบครัวเขา แต่ตอนที่ทำครั้งแรก ที่ทำอย่างง่ายสุด ท้องได้ 2 เดือนกว่า แท้ง หลังจากนั้นก็พยายามทำก็ไม่ได้แล้ว เอ๋ เขาก็เหมือนมีความหวังว่าจะมีลูก แล้วพอแท้ง ด้วยความที่เรามีวิชาชีพพยาบาล เหมือนเราต้องเข้มแข็ง คือจะไม่งอแง โอดครวญ ฟูมฟาย ว่าเสียลูก แต่เขารู้สึกว่าทำไม ยุ้ย ดูเหมือนเฉย ดูเหมือนนิ่ง ไม่ค่อยเสียใจ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราก็เสียใจ แต่ไม่รู้ว่าจะฟูมฟายไปทำไม ทำให้คนที่อยู่รอบข้างทุกข์ไปกับเรา ก็เลยนิ่ง

    ปรับตัวไปหาฝ่ายชายทุกเทศกาลเที่ยว
    จริงๆ ทั้งเอ๋ ทั้งยุ้ย เป็นคนที่ชอบเที่ยว โดยเฉพาะเอ๋ ถ้าวันหยุดแล้ว ไม่ติดอะไร เขาจะชอบไปต่างจังหวัด บางที ไปเช้า เย็นกลับ แค่ไปทานข้าว เสร็จสักอยุธยา ชลบุรี บางแสน พัทยา เสร็จ ก็ขับรถกลับมา อะไรอย่างนี้ เราก็ไปด้วย จะมีเรื่องของพวกเทศกาล อย่าง สงกรานต์ ปีใหม่ ลอยกระทง เนื่องจากเป็นอาชีพตำรวจ ก็จะมีโครงการหนึ่ง อย่างแรกก็คือฝากบ้านไว้กับตำรวจ เขาก็ต้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในส่วนตรงนี้ เขาจะต้องอยู่ในพื้นที่ เราไม่เคยที่จะได้รับรู้ว่า การที่ไปเคาต์์ดาวน์ที่ต่างจังหวัด สงกรานต์ ที่เชียงใหม่ เป็นยังไง หรือลอยกระทง อะไรอย่างนี้ เขาต้องอยู่ในพื้นที่ เพราะเขาต้องคุมพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นวัด เป็นที่ไหน เราก็ไปกับเขา โดยการที่เราปรับตัวว่า เราไปหาเขา

    ชมเปาะฝ่ายชายเป๊ะเรื่องงาน
    เขาเป็นคนสนุก คุยเก่ง มีความเป็นผู้นำ มีการบริหารจัดการที่ดี เป็นคนที่มีทั้งพระเดช และพระคุณ ทำอะไรไว ตัดสินใจเด็ดขาด เป๊ะ ทำอะไรแล้ว ถ้าสั่งลูกน้องแล้วปุ๊บ ต้องรีบดำเนินการให้เสร็จ แล้วมีการรีพอร์ตกลับว่าเรียบร้อยมั้ย เพราะว่าสมัยที่เขาเป็น ร.ต.อ. หรือ พ.ต.ต.เป็นนายเวร แล้วนายพี่เขามีความเป็นระเบียบมาก เพราะฉะนั้น ก็เหมือนถูกฝึกมาว่าจะต้องมีการวางแผน มีการบริหารจัดการ ตรงนี้ก็ได้ข้อดีที่ติดตัวเขามา ถ้าถามว่า เราช่วยงานเขามากมั้ย ก็ไม่ค่อยได้ช่วยเท่าไหร่ แต่จะคอยดูแลให้กำลังใจเขา ถ้าเป็นเรื่องงาน เราจะช่วย ต่อเมื่อเขาร้องขอ เช่น ช่วยซื้อของขวัญให้นาย หรืออะไรอย่างนี้ ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องงานเขาจะเป๊ะ อยู่แล้ว

    หลักครองคู่ ทะเลาะยังไงก็จะไม่ไปไหน
    หลักในการครองคู่ จริงๆ เอ๋ เป็นคนอารมณ์ร้อน ค่อนข้างร้อน เนื่องจากเขามีภาวะผู้นำโดยอาชีพ ตัวบุคคล แล้วจริงๆ เขาก็เป็นลูกคนโต ยุ้ยก็ลูกคนโต แต่ยุ้ย จะถือว่าใจเย็น ก็ไม่มากเท่าไหร่ เวลาถ้าบทบู๊ ก็บู๊ เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่บ่อย คือเราจะรู้ว่าถ้าเวลาเขาอารมณ์ร้อน เราจะเงียบ ไม่พูด ก็คือว่าปล่อย อยากทำอะไรทำ ก็รู้จังหวะ ผ่อนเบา อีกคนกำลังขึ้น เราก็จะเงียบ แล้วถ้าเวลาเราขึ้น บางทีก็จะรอจังหวะ เพราะเราไม่อยากให้มีผลกระทบ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา 10 กว่าปี ทะเลาะที่แรงๆ สัก 2-3 ครั้ง คือสมมติว่าถ้าเราไม่ยอม เรามีสวนไปแล้ว เขาก็จะขับรถออกจากบ้านไป วนสักปากซอย ไม่ถึง 10 นาที วนกลับมาหน้าบ้าน อะไรอย่างนี้ ก็แค่นั้นมากสุด ก็คือไม่เคยที่จะออกจากบ้าน หายกันไปไหนเลย คือเราก็จะมีข้อสรุปว่ายังไงก็แล้วแต่ ก็จะไม่ไปไหน ทะเลาะกันยังไง

    “สุดท้ายแล้วก็เป็นความภาคภูมิใจ เพราะชีวิตคู่ของทุกคน ไม่ได้มีโอกาสอย่างนี้ ได้ลอดซุ้มกระบี่ ถึงจะเป็นคมดาบ แต่ก็เป็นสิ่งอันหนึ่งที่เรียกว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ ในหน้าที่ของสามีที่มีภารกิจเยอะ เราก็ต้องอยู่ภายใต้คมดาบนั้นด้วย……..”คุณยุ้ย-สยมพร ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มและแววตาเข้มแข็ง

    ขวัญดาว 21/12/60

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments