P :: เล่าประวัติส่วนตัว ชื่อนามสกุล ความเป็นมาในวงการข่าวตั้งแต่เริ่มจนถึงวันนี้ให้ฟังหน่อยคะ
A:: ชื่อ ชญานิษฐ คงเดชศักดา เพื่อนๆเรียกว่า “ออด๊าซ” เรียนจบจากคณะวารศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ตอนเรียนอยู่ปี 3 มีโอกาสฝึกงานที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึก เพราะอยากหาประสบการณ์ในช่วงปิดเทอม ซึ่งอาจารย์ส่งมาฝึกที่โต๊ะข่าวอาชญากรรม
ตอนแรกก่อนจะมาฝึกงาน ไม่ทราบว่างานเป็นอย่างไร แรกๆ โทรเช็คข่าวและเขียนข่าวปกติซึ่งเป็นงานถนัดเราอยู่แล้ว ต่อมาในช่วงเรียนปี 4 ซึ่งเป็นเทอมสุดท้ายต้องออกมาฝึกงานจริงเพื่อเอาเกรดจบ รู้สึกสับสนเพราะใจจริงอยากไปฝึกที่สำนักงานนิตยสารมากกว่าเพื่อเขียนงานที่ตัวเองชื่นชอบ แต่งานข่าวอาชญากรรมก็อยากทำ
สรุปว่าได้มาฝึกงานที่โต๊ะข่าวอาชญากรรม นสพ.คมชัดลึก เพราะนิตยสารรับ นศ.ฝึกงานเต็มหมดแล้ว ซึ่งปรากฎการฝึกงานครั้งนี้ได้ลงพื้นที่กับพี่นักข่าว ไปทำข่าวอาชญากรรม รู้สึกตื่นเต้นมาก ได้เห็นศพและการทำงานของตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง และร่วมกตัญญู เราพยายามศึกษาดูงานจากพี่ๆ นักข่าวว่าทำงานกันอย่างไร ซึ่งมันไม่มีในตำราเรียนเลย
รู้สึกว่าโลกมันช่างกว้างใหญ่มาก มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนกระทั่งฝึกงานเสร็จได้ทำงานในสายข่าวอาชญากรรมไปด้วยและต้องทำวิทยานิพนธ์ไปด้วย มันเหมือนเรามี 2 ร่าง คือ ร่างนักข่าว และร่างนักศึกษา มันเป็นอะไรที่หนักมาก ทั้งกลัวทำวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ ไม่ได้รับปริญญาให้พ่อแม่ดีใจ อีกใจก็กลัวทำงานไม่ดีไม่ผ่านการทดลองงาน 4 เดือน เพราะมัวแต่เข้าห้องสมุดหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์
แต่ต้องบอกว่าโต๊ะข่าวอาชญากรรมที่ นสพ.คมชัดลึก ให้ประสบการณ์อะไรมากมาย ทั้งโอกาสและฝึกให้เราสตรอง ช่วงแรกๆ ที่ทำงานจริงมีคดีใหญ่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ในขณะนั้น นสพ.คมชัดลึกเพิ่งเปิดใหม่ เราเป็นรุ่นรองบุกเบิกก่อนพวกพี่นักข่าวก่อนหน้า 1 รุ่น ได้ยินนักข่าวรุ่นพี่สำนักอื่นพูดข่มขู่ว่า “ระวังโดนรับน้องตกข่าวนะ” และก็คำว่า “พรุ่งนี้เจอกันที่แผง” ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าคืออะไร จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นโทรศัพท์ดัง ปลายสาย คือ บก.ข่าวโทรมาคำแรก คือ “เธอตกข่าว ฉบับอื่นมีประเด็นนี้หมดยกเว้นคมชัดลึก เธอต้องเอาคืนให้ได้ไม่อย่างนั้นไม่เซ็นต์ผ่านการทดลองงานให้”
พอวางสายน้ำตาไหล ทำไมโลกนี้ช่างโหดร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ขนาดนี้ แล้วจะเอาคืนอย่างไร จะไปตีหัวพวกพี่ๆ นักข่าวฉบับอื่นยังไง แหล่งข่าวก็ไม่มี เพิ่งทำงานได้ไม่ถึง 1 เดือน จากนั้นจึงค่อยๆ สะสมประสบการณ์พยายามพูดคุยกับตำรวจให้มากขึ้น เพื่อสร้างแหล่งข่าว พยายามมองอะไรให้กว้าง คิดประเด็นไว้ก่อนที่จะไปถึงที่เกิดเหตุ กระทั่งมีแหล่งข่าวโทรแจ้งเหตุรู้สึกดีใจมาก ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำงานไปครึ่งหนึ่ง พออยู่สายตำรวจนานเข้าก็รู้ว่าการทำงานของตำรวจเป็นอย่างไร เวลาอยากตามคดีนี้ต้องเข้าหาใคร
ซึ่งเวลาผ่านไป 5 – 6 ปี บนเส้นทางสายอาชญากรรมมีเรื่องมากมาย เจอทั้งตำรวจดีและตำรวจไม่ดี แต่โดยรวมตำรวจกับนักข่าวสายอาชญากรรมเป็นอะไรที่ต้องพึ่งพากันเยอะมาก ในแง่ของการทำงานเราเป็นนักข่าวก็ต้องการข่าวจากตำรวจ ส่วนในแง่ของตำรวจก็ต้องมีนักข่าวไว้นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไม่บิดเบือน เช่น ช่วยลงข่าวตามจับคนร้ายปล้น จี้ ชิง ทรัพย์ เพื่อรับแจ้งเบาะแสในการตามจับคนร้าย นำเสนอเหตุเตือนภัยใกล้ตัวต่างๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อความผาสุกของสังคม เราจึงรู้สึกภูมิใจว่าไม่ได้ทำงานเพื่อรับเงินเดือนเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้เป็นหูเป็นตาช่วยเหลือสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
พอถึงจุดหนึ่งที่เราได้ประสบการณ์จากตรงนี้แล้ว มันมีประสบการณ์อย่างอื่นที่เราใฝ่ฝันไว้ด้วย คือการได้เป็นนักเขียน ประกอบกับเป็นช่วงที่ทาง นสพ.เดลินิวส์ เปิดรับสมัครมือเขียนสกู๊ปวาไรตี้ หน้า 4 ซึ่งมันเป็นงานเขียนเชิงสารคดี ที่ได้ข้อมูลจากการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งใน และตปท. และกลับมาเขียนบอกเล่าเรื่องราว มันคืองานในฝันที่เราอยากทำตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะไม่ใช่นิตยสารก็ตาม
จึงถึงจุดหนึ่งที่ต้องหักเหชีวิตและเปลี่ยนงานไปอยู่ในจุดที่เราต้องการทำและรักงานนี้มาก จึงย้ายงานไปทำตามความฝันของตัวเอง เราทำงานเขียนนี้ได้ดี และรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่งานลงตีพิมพ์ แต่ถึงวันนี้ก็ยังรู้สึกมีไฟอยู่และยังไม่หยุดที่จะหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในช่วงที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบงานที่ท้าทายน่าตื่นเต้น รวดเร็วฉับไว จึงไม่รอช้าที่จะย้ายงานมา “เดลินิวส์ออนไลน์” ทันที เพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าข่าว และได้ใช้ความสามารถมากมายรอบด้าน ซึ่งมันแตกต่างจากการเป็นนักข่าวอย่างสิ้นเชิง
จากที่ต้องเดินทางหาข่าวก็กลายเป็นการตรวจงานข่าวแทน มันต้องใช้ความรับผิดชอบสูง งานหนักมาก ถึงแม้จะทำได้ไม่ถึง 1 ปี แต่เชื่อว่าเราจะสามารถปรับตัวและทำงานหนักให้เป็นงานเบาได้