ถ้าหากว่าข่าวคลิปไวรัลหลายคลิปเผยแพร่ถึงกรณีประเทศลาวถูกจีนครอบงำไปเกือบหมด แล้วยังมีเรื่องแบ่งแยกชนชั้นเหยียดหยันความเป็นคน อย่างที่ปรากฎตามกระแสโซเชียลหลายเรื่องนั้น
มองกลับมาถึงบ้านเราประเทศไทยบ้าง ก็เริ่มจะถูกทุนจีนกลืนเข้าไปเรื่อยๆ ขอยกบทความน่าสนใจของดร.โสภณ พรโชคชัย ที่เผยแพร่ในเพจกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2567
ในชื่อ “อสังหาริมทรัพย์กับภัยความมั่นคงของชาติ” ที่จั่วหัวว่า หลายคนเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งไม่จริง หลายคนก็เชื่ออีกว่าถ้าให้ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่จริงอีก
แต่กลับกลายเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติต่างหาก
ยกตัวอย่าง มีบริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่ สร้างบ้านขายให้คนจีนไป ดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พิสดารตรงที่บ้านแต่ละหลังที่ขายเขาโอนในรูปของบริษัท การซื้อขายบ้านของคนจีน จึงใช้วิธีซื้อบริษัทที่ถือครองบ้านหลังดังกล่าว ไม่ได้ซื้อบ้านโดยตรง จึงไม่มีการโอนซื้อขายบ้านและที่ดิน
ผู้ซื้อที่เป็นคนต่างชาติจึงครอบครองบ้านอย่างเงียบๆ และไม่มีในสารบบให้เห็น นี้จึงเป็นภัยด้านความมั่นคงอย่างหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของเรายังอ่อนแอ เก็บเฉพาะบ้านที่มีราคาประเมินเกิน 50 ล้านบาท จึงแทบไม่มีใครเสียภาษี
ภาษีกำไรจากการขายทรัพย์สินก็เก็บตามประเมินของทางราชการ ซึ่งเก็บได้น้อยมาก
หลายประเทศเริ่มห้ามชาวต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ประจำสามารถซื้อบ้านที่อยู่อาศัยในประเทศของตน ด้วยเหตุผลหลายประการ
อาทิ ทำให้ราคาบ้านสูงขึ้นจนพลเมืองในประเทศไม่สามารถซื้อได้ เกิดปัญหาชุมชนบ้านร้างเพราะต่างชาติซื้อเพื่อเก็งกำไรเท่านั้น เกิดปัญหาการดูแลจัดการชุมชนส่วนกลาง เพราะไม่ได้รับค่าส่วนกลาง
ในกรณีของไทย ก่อให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคง เพราะต่างชาติบางรายเข้ามาเพื่อใช้เป็นฐานก่ออาชญากรรรม และจ้างงานในหมู่คนชาติเดียวกัน มีการสวมบัตรประชาชนไทย การรับมือกับปัญหาความมั่นคงยังไม่เข้มแข็งพอ อาจเป็นเพราะมีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วย
เมื่อมองไปในวันข้างหน้า อาจเป็นไปได้ว่า ภาคใต้ทางจ.ภูเก็ต เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ และทางตะวันออก เมืองพัทยา แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลต่างๆ กลายเป็นเขตยึดครองของคนรัสเซีย ยูเครน ยุโรปตะวันออก
ส่วนทางตะวันออกในเขตเศรษฐกิจพิเศษก็มีชาวจีน นายทุนชาวไทยทำตัวเป็นนายหน้ากว้านซื้อที่ดินช่วยชาวต่างชาติ
ทางภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย แทบจะกลายเป็นจังหวัดของจีนไปเช่นกัน เพราะคนจีนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี
ขณะที่กรุงเทพมหานคร คนจีนเข้ามาลงทุนเปิดกิจการอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ตั้งแต่ย่านห้วยขวาง รัชดาภิเษก จนลามไปย่านคนจีนดั้งเดิม แถวเยาวราช ย่านประตูน้ำ ย่านสำเพ็ง โบ๊เบ๊
ลองนึกภาพดู หากคนต่างชาติเหล่านี้มาปักหลักทำมาหากินในไทยได้เป็นแสนเป็นล้านคน เขาก็ย่อมจะเรียกร้องเพื่อประโยชน์ของกลุ่มก้อนพวกเดียวกันอย่างไม่เกรงใจเจ้าของประเทศแน่นอน
ดูง่ายๆ อาจขอให้ใช้ภาษาของเขาเป็นภาษาราชการ หรือภาษาที่ 2 อย่างเช่นภาษาที่ใช้ตามตูเอทีเอ็ม หรือป้ายบอกทางบนทางด่วน
นอกจากนี้แล้ว การประกอบการธุรกิจของต่างชาติอย่างทุนจีน ที่รุกรานธุรกิจของคนไทยอย่างหนัก โดยทุนจีนรุ่นใหม่ที่เข้ามาอย่างมากในปี 2559 ผ่านทางนักศึกษาและครูสอนภาษาชาวจีน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) พบว่า กลุ่มคนจีนรุ่นใหม่เริ่มมาสร้างชุมชนที่ย่านถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญห้วยขวาง ประมาณปี 2559 ประมาณ 7,000 คน อายุระหว่าง 25-40ปี หรือคนที่เกิดหลังปี 2523 ซึ่งมีการศึกษาดี หรืออาจเข้ามาศึกษาต่อในไทย และเป็นครูสอนภาษาจีน
ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่เล็งเห็นโอกาสประกอบธุรกิจในไทย เริ่มย้ายถิ่นฐานมาอยู่ย่านถนนรัชดาภิเษก พระราม 9 ห้วยขวาง สุทธิสาร กลายเป็นแหล่งชุมชนจีนรุ่นใหม่
ตึกรามบ้านช่อง อาคารคอนโดฯเป็นที่พักอาศัย มีร้านอาหารจีน ผับบาร์ของตน คนจีนรุ่นใหม่ไม่ได้คิดจะตั้งรกรากในไทย แต่หวังเพียงทำธุรกิจกอบโกยเงินกลับประเทศตน
แล้วการเปิดกิจการร้านอาหารหรือธุรกิจขายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จะเปิดในนามบริษัท ซึ่งกฎหมายเปิดโอกาสให้เพียงมีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ก็จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ โดยอาศัยคนไทยเป็นหุ้นส่วนนอมินี ทั้งยังต่อยอดไปขอใบอนุญาตทำงานหรือเวิร์กเพอร์มิตได้
ส่วนใหญ่จะประกอบการธุรกิจอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อคนไทยที่ถูกตัดราคาสินค้าจนสู้ไม่ไหว หรือทำให้อาคารพาณิชย์มีราคาค่าเช่าสูงกว่าเดิมหลายเท่าจนคนไทยไม่สามารถแข่งขันได้
ร้านค้าของคนไทยล้มหายไป ร้านคนจีนเข้ามาทดแทนไปจนหมดสิ้น ย่านเยาวราชของคนไทยเชื้อสายจีนเดิม ก็เริ่มถูกชาวจีนรุ่นใหม่เข้าไปแย่งประกอบธุรกิจแข่งจนแทบล้มละลาย ทุกวันนี้ร้านอาหาร ร้านนวด เจ้าของเป็นคนจีนใหม่มากกว่า 50%
ธุรกิจที่จีนใหม่นิยมเปิดค้าขาย อาทิ กิฟท์ช็อป หน้ากากอนามัย เสื้อผ้า รองเท้า ร้านอาหาร คนไทยที่ค้าขายต้องนำเข้ามาจากจีน ย่อมเสียเปรียบจีนใหม่ เพราะสามารถตัดสินค้าจากโรงงานในจีนได้โดยตรง ทำให้ได้ต้นทุนถูกกว่า นำมาขายตัดราคา แถมข้อตกลงการค้าไทย-จีน ที่ยกเว้นภาษีนำเข้าอีก
คือเริ่มต้น ผู้ค้าชาวไทยก็พ่ายแพ้คนจีนใหม่ไปแล้ว
แต่นั่นเป็นเรื่องการแข่งขันทางการค้า เป็นความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เพียงแต่น่าสงสัยว่าทุนจีนที่ลงทุนประกอบกิจการด้วยค่าเช่าที่แสนแพงคูหาละ 3-5 แสนบาทต่อเดือน แต่ขายสินค้าราคาชิ้นละ 10-20 บาทเท่านั้น จะมีกำรี้กำไรหรือ
หรือว่าเป็นการเปิดร้านบังหน้า เพื่อเป็นการฟอกเงินจากธุรกิจสีเทา ที่รัฐบาลจีนเข้มงวด จนต้องออกมาหาดินแดนใหม่ทำธุรกิจฟอกเงิน
นอกจากนี้คนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยสร้างผลกระทบต่อรายได้ของรัฐอย่างมาก โดยเฉพาะการหลบเลี่ยงภาษี ปีละไม่ตำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เป็นปัญหาระดับชาติ
ทุนจีนรุกขยายไปเรื่อยๆ ในกทม. แม้แต่ปากคลองตลาดย่านค้าส่งดอกไม้ คนจีนใหม่ยังไปเปิดร้านขายดอกไม้แข่งกับคนไทย วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ดอกกุหลาบจากจีนได้รับความนิยมอย่างสูง
ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็เป็นการค้าขายที่มีการแข่งขันกันเป็นธรรมดา แต่การรุกคืบไปในทุกมิติการค้าขาย อะไรที่ขายได้ คนจีนใหม่จะเข้าไปทำทุกอย่างทุกหย่อม
จนแทบไม่เหลือช่องให้คนไทยได้หายใจค้าขายได้อีก
นี่แหละภัยความมั่นคงของประเทศที่คืบคลานครอบคลุมภูมิภาคอาเชียนอย่างแท้จริง
ดอนรัญจวน 19/2/2567