เป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย เมื่อทีมมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีหรือบีทียู คว้าแชมป์ฟุตบอลมหาวิทยาลัยเอเชีย ควั้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลมหาวิทยาลัยโลกที่ เนเปิล ประเทศอิตาลี ในเดือนก.ค.62
นอกจากนักเตะที่สู้กันอย่างสุดชีวิต มีดราม่าแทบทุกแมทช์ ไม่ว่าจะเป็นการเจอโอมาน หรือนัดชิงชนะเลิศกับเกาหลีใต้
คีย์แมนสำคัญอีกคนนั่นคือ ป๋าโก๊ะ-พ.ต.อ.สมภพ พงษ์ฤกษ์ ตำนานนักสืบ นรต.32 อยู่มาทั้งสืบสวนเหนืออันเลื่องชื่อ กองปราบฯ และตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองผบก.สส.ภ.7ที่รับบทเป็นผู้จัดการทีม
เปิดอกทุกเบื้องหลังทำทีมจนได้รับความสำเร็จครั้งนี้ให้ฟัง หลังกลับจากศึกลูกหนังที่เมืองจีน
เกษียณปี 58 เพื่อนชวนคุมบอลบีทียู
พี่ปลดเกษียณ ปี 2558 งานอะไรก็ไม่มีจะทำแล้ว ก็มีเพื่อนที่เป็นตำรวจสมัยเก่า โทรศัพท์เข้ามา ตอนนี้เขาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นญาติสนิทท่านอธิการบดี และลูกชายท่านอธิการบดี บอกว่า
โก๊ะ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ขาดอาจารย์ที่ปรึกษา ผู้จัดการทีมมหาวิทยาลัย เพราะแข่งฟุตบอลที่ไหนก็ไม่เคยผ่านเข้ารอบเลย ระดับมหาวิทยาลัย
โอเคทันที จะได้ไม่เหงาหลังเกษียณฯ
ความที่พี่ชอบเล่นกีฬาฟุตบอลมาตลอด เคยทำทีมสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจมาตลอด 3 ปีขึ้นชั้น ตกชั้น ขึ้นชั้น 3 ครั้ง ก็คิดว่า ระดับมหาวิทยาลัยไม่น่ามีปัญหาอะไร คิดว่ารับเอาไว้ ดีกว่าอยู่เฉยๆ หลังเกษียณ จะได้มีงานทำ ไม่เหงา ก็ตอบรับเพื่อนไป โอเค.
คัดจาก 300 ให้เหลือ25 คนต่อปี
แล้วไปคัดเด็ก ส่วนมากเป็นเด็กปี 1-4 ซึ่งมหาวิทยาลัย จะเปิดโอกาสให้คัดเด็กอยู่แล้ว เด็กที่มาคัด ปีแรกที่ทำ ปีละประมาณ 300 คน พวกนี้มหาวิทยาลัยจะให้เรียน โดยได้รับทุนการศึกษา ปีละประมาณ 25 คน เขาจะให้รับทุน เรียนด้วย เล่นกีฬาด้วย ใครฝีเท้าดี จะไปติดทีมชาติ หรือเล่นสโมสร มหาวิทยาลัยก็อนุญาต
แต่ถึงเวลาการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ต้องกลับมาเล่นให้ แต่ตรงนี้ พี่รู้อยู่แล้วว่ามีปัญหาแน่ เพราะส่วนใหญ่สโมสรจะไม่ปล่อย
ขอต้นสังกัดคิดถึงอนาคตเด็กเรื่องวุฒิป.ตรี
เราก็คิด ควรจะตกลงคุยกับทางประธานสโมสรแต่ละสโมสร ว่าคุณจะเล่นก็เล่น แต่ต้องเห็นแก่อนาคตเด็กบ้าง เพราะเด็กมาเรียนที่นี่ มหาวิทยาลัยดูแลอย่างดี แต่ถึงเวลาที่นักศึกษาเรียนจบ หรือไม่จบก็แล้วแต่ เขาต้องมาเล่นให้สโมสร ก็ควรจะปล่อยตัวมาหน่อย แต่ให้มาหรือไม่ให้ ก็ไม่ว่าอะไร
แต่สิ่งที่เราจะต้องจำเอาไว้ในใจตัวเอง คือต้องให้เด็กได้รับปริญญา ได้เรียนจบ หลังจากคุณเล่นสโมสรแล้วก็ยังมีวุฒิปริญญาตรี คุณเล่นบอล 15-20 ปี เวลาเล่น อย่างมาก 25-26 หรือถึง 30 คุณก็หมดสภาพแล้ว พอจบมาปุ๊บ ไม่มีอะไรเลย วุฒิ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นตรงนี้ พูดกับประธานสโมสร บางสโมสรแล้ว
บางสโมสรก็ดี เห็นใจ แต่บางสโมสรก็ต้องการของเขา แต่เราก็ไม่ว่ากัน เขาจะจ่ายเงินเดือน หรือดูแลเป็นรายเดือนนักเตะ เราก็ไม่ว่ากันตรงนี้ แต่ที่กังวลที่สุด คือ เด็กเราต้องดูแลให้ความสนใจเขา
สโมสรเล่นได้ แต่ต้องกลับมาเล่นให้มหา’ลัย
คัดปีหนึ่งประมาณ 300 แต่เราก็เก็บไว้ประมาณ 25 คน ทุกปีๆ ละประมาณ 25 คน 4 ปี ก็ 100 คนแล้ว และใน 100 คน เราก็ต้องมาคัดความสามารถเขาอีกว่า คุณสามารถเล่นได้มั้ย แต่เมื่อคัดมาแล้ว เราก็มีวิธีการอีกวิธีคือ
รับนักศึกษาที่เล่นบอลสโมสร ฝีเท้าดีๆ แล้วให้มาเรียนที่นี่ ในโควตา ปี 1-4 ได้รับทุนเรียนฟรี ถึงเวลาซ้อม ก็ต้องมาซ้อมตามปกติ คือต้องเรียนด้วย แต่ก็มีหอพัก มีอะไรให้ เรียนที่นี่ นอนที่นี่ แล้วก็จะไปเล่นกีฬาสโมสรก็ไปเลย แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง คือต้องมาเล่นอุดมศึกษากับมหาวิทยาลัย
มาคุมแค่ปีเดียวได้ 3 แชมป์
อุดมศึกษานี่ ปีแรก พี่ก็ได้แชมป์เลย จากที่ไม่เคยได้ ได้แชมป์อุดมศึกษาปี 2560 ได้แชมป์เฟรชชี่ คือ ได้แชมป์นักศึกษาปี 1 พวกนี้ที่เราคัดไว้แล้ว เราได้แชมป์ แล้วปีนั้นก็ได้แชมป์มหาวิทยาลัยอีก ปีหนึ่งได้ 3 แชมป์
เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ภูมิใจมาก เป็นฝีมือของทุกคน ไม่ใช่พี่คนเดียว สต๊าฟโค้ช ก็ได้มาจากทางท่าเรือติดต่อมาทางคุณแป้ง แล้วส่งโค้ชมาให้พวกเรา ก็ทำเป็นระบบ
ได้น้องๆเพื่อนๆสนับสนุนทำทีม
นอกจากนี้ ก็ยังมีพวกเพื่อนๆ มาเป็นสปอนเซอร์ดูแลทีมของพวกเรา อย่างเจ้าของค่ายมวย ค่าย สจ.ต้อย แปดร้ิว ค่ายมวย จิตร เมืองนนท์ และก็มี นายกจ้อน นายก อบจ.นครนายก เพื่อนรุ่นเดียวกับพี่
หรือแม้แต่ ชาดา ไทยเศรษฐ อดีตส.ส.อุทัยธานี พวกนี้จะเป็นสปอนเซอร์ พวกนี้ อยู่กับเรามาตลอด พี่เป็นคนที่รักกีฬา แล้วน้องๆเพื่อนๆพวกนี้จะช่วยสนับสนุน นอกจากมหาวิทยาลัยคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าเล่าเรียน ค่าอะไร เขาก็ดูแลอยู่แล้ว
มหา’ลัยมีงบ แต่ผจก.ต้องมีอัดฉีด
แต่เมื่อเข้ามารับงานเป็นผู้จัดการทีม ก็ต้องดูแลเด็กๆ ให้ดี การเล่นฟุตบอล ค่าใช้จ่ายมันมีอยู่แล้ว ค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเบี้ยเลี้ยง มหาวิทยาลัยก็มีให้ แต่เราต้องหาเพิ่มเติม อัดฉีดให้เด็กมีกำลังใจในการเล่น มีความตั้งใจ
เงินเดือนไม่มี นักเตะไม่มีเงินเดือนนะ เล่นด้วยใจ มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนกันระหว่างเงินเดือน ถ้าคุณไปเล่นสโมสร คุณได้รับเงินเดือนอยู่แล้ว แต่ถ้าในทางมหาวิทยาลัย แล้วรับเงินเดือนด้วย แล้วเล่นกีฬาด้วย พี่ว่าไม่ถูกต้อง
ในเมื่อคุณมีฝีเท้าดี มหาวิทยาลัยดูแลเรื่องการเรียนจบปริญญา มันก็คุ้มค่ากับการเล่นให้ที่นี่โดยไม่ต้องคิดเงินเดือนให้ เงินเดือนไปเอากับสโมสรที่คุณเล่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้ารับเงินเดือนสโมสร ก็ทำใจลำบาก เป็นนักเตะสโมสรแทบทั้งนั้นเลยที่มาเรียน
บางเรื่องขอเป็นหน้าที่ ผจก.ทีม
มหาวิทยาลัยมีเบี้ยเลี้ยงให้ พี่ก็ต้องคอยบริหาร ส่วนค่ากินที่มันนอกเหนือจากเบี้ยเลี้ยง เราต้องออกให้ มีหมอกายภาพ เวลาเจ็บโน่นเจ็บนี่ พี่ต้องทำประกันให้เด็ก เสียค่าใช้จ่ายบ้าง มันก็เป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีมของมหาวิทยาลัย
บางรายการเด็กเจ็บ ผ่าตัดที 2 แสน นี่คือค่ารักษาที่เบิกได้ ที่ทางประกันต้องจ่าย มีหลายราย พี่ไปแข่งชิงแชมป์เอเชีย คุยกับท่านอธิการ กับท่านรองอธิการ ว่าผมขออนุญาต ข้ามหน้าข้ามตาหน่อยนะ ผมไม่ใช้เงินทุนของมหาวิทยาลัย แต่ใช้ทุนส่วนตัวทำประกันให้เด็ก
เจ็บหลายคนแต่ดีที่ทำประกันไว้
ทำคนละ 1,000 เบี้ยเลี้ยงการเดินทาง ไป 4 วัน ก็พอดีเลย ทั้งหมด 20,000 กว่าบาท ทั้งหมด 23 คน ทำให้เขา ก็มีนักเตะ เจ็บ เย็บ โดนมา เราคนไทยตัวเล็ก ไปเจอแขกโอมาน ไปเจอเกาหลีเข้า ตัวอย่างกับยักษ์ เกาหลี สูง 200 ถ้าดูทีวีจะรู้ ของเราแค่ไหล่เขา กระโดดยังไม่ถึงเลย
เสร็จแล้ว มันก็เจ็บหลายคน ก็ดีที่ประกันดูแล แล้วอีกอย่างคือการแข่งขันในสนามของแต่ละประเทศที่จัดการแข่งขัน เขามีประกันให้อยู่แล้ว แต่เพื่อความชัวร์ เราจัดการของเราเองดีกว่า
ดีใจมีเพื่อนพวกช่วยสปอนเซอร์
ตรงนี้พี่ก็ดีใจมาก ที่มีสปอนเซอร์ มาคอยดูแล นอกจากของทางมหาวิทยาลัย ที่ดูแลอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของเรา ใครจะเป็นผู้จัดการทีม มันก็จะเป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ กีฬาเมืองไทย ถ้าผู้จัดการทีม สต๊าฟโค้ช ไม่ดูแลเด็ก เด็กจะเล่นดีได้ยังไง
เอาไปแข่งที่จีนครั้งนี้ ในความคิดผมดีใจ และตื้นตันใจที่เด็กทุกคนมีวินัย กล้าเล่น แล้วที่สำคัญที่สุด คือ ใจสู้ทุกคน เวลา 90 นาที หรือทดเจ็บ อะไรก็แล้วแต่ เขาไม่ย่อท้อนะ
ชื่นชมเด็ก ลุยสู้ถึงแชมป์
เขาไม่ท้อ เขาสามารถวิ่งได้ตลอด เพราะเขาหวังชัยชนะ ก่อนที่ประชุมเดินทางไป ท่านอธิการ ให้โอวาท บอกว่าขอให้ติด 1 ใน 4 ไปอิตาลี ก็พอแล้ว แต่เราถือว่าสำเร็จ เพราะไม่มีใครทำตรงนี้ได้ เป็นครั้งแรกเลยของมหาวิทยาลัยไทย
พอผ่าน 1 ใน 4 ได้ เราได้ไปแน่นอนแล้ว พี่ และนักเตะ เรียกประชุมกัน ทั้งสต๊าฟโค้ช ว่าเราติด 1 ใน 4 ไปชิงแชมป์โลก มหาวิทยาลัยโลก แล้วทำไมเราไม่เอาแชมป์ที่นี่เลยล่ะ แชมป์เอเชีย เอามาให้มันยิ่งใหญ่ในประเทศในเอเชียเลย สู้รึเปล่า ถ้าสู้ ก็เดินหน้าต่อ
เด็กบอกว่า ผมกำลังจะบอกป๋าโก๊ะ เหมือนกันว่า เรามาที่นี่แล้ว เราเอาแชมป์ดีกว่า 1 ใน 4 ไม่เอาแล้ว เพราะไปได้อยู่แล้ว แต่เอาแชมป์เลยดีกว่าให้มันแน่นอน ทุกคนก็ตั้งใจเล่น เพราะหวังจะสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
จำไว้ยันตาย นัดชนะแข้งเกาหลีใต้
ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า 30 วินาทีสุดท้าย วันที่ชิงชนะเลิศกับเกาหลีใต้ มันเป็น 30 วินาทีที่สำคัญมาก เป็นดราม่าที่ตัวพี่เองจะจำไว้ตลอดชีวิตยันตาย ว่าเด็กทำได้ถึงขนาดนี้ แล้วประตู ยู 23 ทีมชาติ เมืองทอง ก็ดูว่าเด็กคนนี้เก่งมาก แต่จะเก่งคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องเก่งทั้งหมด ที่เราไป ทุกคนก็บอก
มันก็มาพูดกับพี่ว่า ให้ผมไปโหม่งอีกครั้งหนึ่ง ก็โหม่งไม่เข้า มันดวงไง ดวงที่เราก็พูดกับเด็กไว้ตลอดเวลาว่า เส้นทางเราถ้าจะเป็นแชมป์มันก็ต้องเป็นแชมป์
ก.ค.62 บินมะกะโรนีชิงแชมป์โลก
เป็นสิ่งที่เราดีใจ พี่ดีใจตรงที่ว่า ทำได้ตามเป้า โดยเฉพาะ ทีมหญิงได้ด้วย ประวัติศาสตร์หน้านี้ต้องจารึกเอาไว้ อีกชาติหนึ่งก็ทำไม่ได้ ที่ประเทศไทย ได้ทั้ง 2 ถ้วย พี่พูดมา พี่ไม่ได้หมายความว่าพี่เก่ง พี่แน่ หรืออะไร ไม่ใช่ ดวงมันเป็นอย่างนี้ ดวงชะตา หรืออะไรก็แล้วแต่ เขากำหนดมาเป็นอย่างนี้ ทีมประเทศไทย ทั้ง 2 ทีม เป้าหมายต่อไปของพี่ก็คือว่า เดือนกรกฎาคม62 ต้องไปชิงแชมป์โลกที่อิตาลี เหมือนไปแข่งโอลิมปิก จริงๆ มีกีฬาหลายประเภท อิตาลี เป็นเจ้าภาพ เป็นการเตะชิงแชมป์กีฬามหาวิทยาลัย
ตั้งเป้าขอติด1ใน 8ของโลก
เดินทางวันที่ 3 กรกฎาคม ถึงวันที่ 4 กรกฎาคม ก็ตั้งเป้าไว้ว่า เราเป็นแชมป์เอเชีย ขอให้ติด 1 ใน 8 ของโลก เข้ารอบ คือรอบ 16 ทีม มันก็น่าจะเป็นระบบการชิงแชมป์โลก ที่ต้องมีหลายสาย เพราะระบบนี้เป็นของโลก ก็คล้ายกับฟุตบอลโลก สายเอ สายบี สายซี มี 32 ทีม พี่หวังแค่รอบ 2 หรือ 8 ทีมสุดท้าย นี่ก็ถือว่าดีแล้ว แชมป์จากเอเชีย เจอทีมจากทั่วโลก
เสียเปรียบรูปร่าง แต่น่าจะสู้ได้
เราเป็นรองเขาตั้งเยอะ แต่มันดีอย่างหนึ่ง คือนักกีฬาทุกคน เกณฑ์คือไม่เกิน 25 อายุเท่านี้ ก็เป็นเด็กพวกปี 1-4 ถูกมั้ย เพราะฉะนั้นจะติดทีมชาติ ตอนนี้ ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้ติดทั้งทีม มันก็ต้องมีที่ดี บ้าง เพราะฉะนั้นอายุก็จะอยู่ประมาณ 20-22 ทีมชาติเก่งๆ
ใครมันจะเก่งมาตั้งแต่ 1 ขวบ ก็ไม่มี ก็เล่นบอลกันตั้งแต่อายุประมาณ 15-16 มันก็แค่นี้เอง ก็ห่างกันไม่เท่าไหร่ เก่งขึ้นเป็นสุดยอดภายใน 5-6 ปี มันเป็นไปไม่ได้ แต่ระหว่างนี้ เขาจะเริ่มเก่งขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง อายุ 24-25 ก็กำลังพีคสุดของเขา ก็คิดว่าน่าจะสู้ได้ แต่เราอาจจะเสียเปรียบรูปร่าง
เตรียมป้องกันแชมป์ที่อุบลฯ ม.ค.นี้
แล้วตอนนี้ จะเริ่มซ้อมแล้ว เดี๋ยวกลับจากบอลชิงแชมป์มหาวิทยาลัย จะไปวันที่ 11-24 มกราคม 62 กีฬามหาวิทยาลัยที่จ.อุบลราชธานี เราต้องไปป้องกันตำแหน่ง แต่ตอนนี้ เราแชมป์ ปีนี้ก็ต้องสู้หน่อย เพราะเราไม่รู้ว่าระดับมหาวิทยาลัย แต่ละมหาวิทยาลัยเขามีตัวดี ตัวใหม่ เพิ่มขึ้นมารึเปล่า เราไม่รู้ แต่เรามีศักดิ์ศรี เราก็ต้องสู้เขา
เป็นกำลังใจให้ป๋าโก๊ะและเด็กไทยกันนะครับ
เฮียเก๋17/11/61