บนเส้นทางโคจรของคนจรหมอนหมิ่น ไม่มีอะไรซับซ้อน หากแต่เรียบง่ายเหมือนแต่ละวันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
หญิงร่างแบบบางกับชุดดำหม่นสวมหมวกแก๊ปมอๆ ยามเช้าช่วงเร่งด่วนเธอจะหลบจากถิ่นทางของเธอไปนั่งอยู่กับพื้นปูนห่างจากสะพานลอยคนข้ามไม่กี่สิบเมตร เมื่อพนักงานเทศกิจมากวดขันไม่ให้มีบุคคลสิ่งของกีดขวางทางสัญจรของประชาชนทั่วไปที่ต้องรีบเร่งเดินทางไปทำงาน
แม่ค้าพ่อค้าปูพลาสติกวางสินค้าถุงเท้าหน้ากากอนามัย พวงกุญแจ ตุ๊กตา ของใช้จิปาถะต้องเก็บสัมภาระหลบเร้นให้เวลาเร่งด่วนผ่านพ้นไปก่อน ถึงจะได้โอกาสมาเปิดร้านประกอบการค้าขายหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันต่อไป
หนุ่มใหญ่วณิพกต้องยืนเก้ๆกังๆ มองลงบนถนนไปตามเรื่องไม่ได้ใส่ใจจริงจังอะไรเช่นกัน
ช่วงเย็นวันเดียวกันขณะเดินไปตามฟุตปาท สวนทางกับหนุ่มใหญ่ร่างผอมบางไม่สวมเสื้อ กางเกงหม่นหมองไปกับใบหน้าที่เคร่งเครียดเปรอะเปื้อนคราบไคล
เขาเดินก้าวย่างช้าๆ เหมือนกับไม่มีเรี่ยวแรง คงไม่มีอะไรตกถึงท้องตลอดทั้งวัน ไม่สามารถล่วงรู้ถึงจุดหมายปลายทางของเขาได้นอกจากเพียงแต่ได้รู้สึกเหมือนเจอคนรู้จักหน้ากันอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น แล้วคงได้พบเจอกันอีกตามเส้นทางเดิมไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า
เขาคือคนรู้จักร่วมโลกของข้าพเจ้าคนหนึ่ง พบเพื่อจากกันไปก็เท่านั้นเอง
ขณะคิดเรื่อยเปื่อยเดินไปจนถึงทางข้ามม้าลายพันธุ์ใหม่ลายแดงสลับขาว คงเกิดจากแนวคิดจะทำให้สะดุดตาคนขับรถขับราได้บ้าง
แต่เปล่าเลย มันไม่ต่างจากม้าลายพันธุ์เดิม พอเดินข้ามไปจะพ้นผิวถนนอยู่รอมร่อ เสียงบีบแตรดังลั่นเล่นเอาสะดุ้งโหยงตุ๊มๆต่อมๆ
นี่อะไรกันขนาดเดินข้ามถนนบนทางม้าลายแท้ๆ
สุดท้ายรถคันที่เสียงแตรดังลั่นคงไม่ได้เจตนาบีบไล่คนข้ามทางม้าลาย หากแต่ส่งเสียงเหมือนตวาดใส่รถเก๋งอีกคันที่ไม่ยอมหยุดให้คนข้ามทางม้าลาย หวิดจะชนคนอย่างน่าหวาดเสียว
จนคนที่เดินอยู่บนฟุตปาท และพ่อค้าแม่ค้าหันไปมองและส่ายหน้าอย่างระอากับความเห็นแก่ตัวและไร้วินัยของมนุษย์บางคนก็เท่านั้น
นี่คือความจริงที่เห็นและเป็นอยู่
ลงจากสะพานลอยคนข้ามก้าวไปยืนรอรถเมล์ครีมแดงที่ศาลารอรถ มีลุงร่างท้วมตามวัย สวมแว่นตา ใช้มุมข้างศาลาเป็นแหล่งทำมาหากินด้วยอาชีพขายน้ำส้มคั้นบรรจุขวดพลาสติกขวดละสิบบาท แช่น้ำแข็งเย็นเฉียบ รอให้บริการลูกค้าที่กระหายน้ำและต้องการพลังงานเพื่อต่อสู้กับวันหนึ่่งของชีวิตต่อไป ปากลุงจะเผยอร้องเรียกหาลูกค้า
“น้ำส้มเย็นๆหวานๆ จ้า รับน้ำส้มเย็นๆหวานๆมั้ยขวดละสิบบาทเท่านั้น”
แกจะร้องด้วยประโยคซ้ำๆ จนจำติดหูเสมอ เมื่อมีลูกค้ามายืนทักทายพูดคุยด้วย ลุงคนขายน้ำส้มจะพูดคุยอย่างสนิทสนมจนเหมือนคนรู้จักกันมานมนาน
บางคนเพียงเข้ามาถามรถเมล์สายไหนผ่านสถานที่ที่เขาจะไปบ้าง ลุงแกจะให้คำตอบอย่างกระตือรือร้นไม่ถือสาแม้จะไม่ได้ซื้อหาสินค้าของแกก็ตาม
แกเต็มใจให้คำอธิบายเกินความต้องการของผู้ทักถามเสียอีก ถึงขนาดตะโกนไล่หลังบอกผู้เดินทางขณะรีบร้อนขึ้นรถเมล์สายหนึ่งให้คอยสังเกตจุดสำคัญก่อนถึงที่หมายปลายทางของเขาอีกด้วย
แกคงมองผู้คนเหมือนญาติเหมือนลูกเหมือนหลานของแกกระมัง นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้วในยุคสมัยนี้
พอดีรถเมล์สายประจำที่ใช้บริการมาถึง แม้จะขาดระยะนานกว่าครึ่งชั่วโมงจะมาสักคัน แต่เป็นรถเมล์สายที่ว่างพอมีที่นั่งเสมอ
ข้าพเจ้าก้าวขึ้นไปมองหาที่นั่่งบนรถได้ หยิบโทรศัพท์มือถือมานั่งไถหน้าจอเป็นปกติ เหมือนหลายคนบนรถคันเดียวกันมักจะทำอย่างนี้ เป็นการฆ่าเวลาที่ไม่มีวันตาย นอกจากคนฆ่าเท่านั้น
ผ่านไปไม่กี่นาที รถเมล์แล่นใกล้ถึงที่หมายของข้าพเจ้า พอเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าหิ้วแล้วลุกจากม้านั่ง กดออดส่งสัญญาณบอกคนขับรถเมล์ซึ่งยังดูหนุ่มแน่น ไว้หนวดหลิมๆ ก็คงเป็นหนวดที่ไม่ดกหนาเฟิ้มนัก
ข้าพเจ้าคิดเอาว่าเขาจะได้ยินเสียงออดหรือเปล่าหนอ เพราะได้ยินแต่เสียงร้องเพลงคลอลั่นไปกับเครื่องเสียงที่ปล่อยเสียงดังราวกับรถแห่เล็กๆ กับเพลงหนอนผีเสื้อหรืออย่างไรก็จำไม่ได้
…เป็นแค่หนอนไร้ค่าที่หลงลืมตาเกิดมา ท่ามกลางดอกไม้ร่างกายผอมบาง ดมกลิ่นหอมเย้ายวนหลากสีชี้ชวนให้หลงรักไม่ลาร้าง หลงรักเจ้าช่อดอกไม้ทั้งใจ ต่อให้หิวก็ฝืนก็ทน จะยอมไม่กลืนไม่กินดอกใบให้เจ้าดอกไม้ระคาย ..
แค่ใช้น้ำค้างเพื่อพอประทัง ตายังมองชื่นชมแค่เพียงดอกไม้ ไม่เคยคิดมองตัวเอง จนชีวิตเจ้าหนอนก็ตายลงไป ยอมทำไปแม้ไม่มีใครจะมองเห็น หล่นร่วงลงไปทอดกายเป็นปุ๋ยดิน…
แล้วรถเมล์ก็เบนหัวเข้าไปจอดตรงป้ายรถเมล์พอดี นี่นับเป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ของโชเฟอร์หนุ่มคนนี้ ที่ทำงานอย่างมีความสุขบนเส้นทางอาชีพของเขา
ข้าพเจ้าไม่ลืมบอกขอบคุณหลังก้าวลงจากรถอย่างปลอดภัยอีกวันหนึ่ง
16/11/2567