เรือนจำกลางคลองเปรม กลางเดือน พ.ค.2550
“ต่อไปมึงจะเป็นคนมีช่ือเสียง ยิ่งใหญ่ ชีวิตรับราชการก้าวหน้า แต่บั้นปลายชีวิต มึงจะตกอับถึงขั้นไม่มีแผ่นดินอยู่….”
ชายชราวัย 70 ปี ศีรษะเถิก รูปร่างล่ำสันเป็นมะขามข้อเดียว อยู่ในอาภรณ์ชุดนักโทษ ท่าทางยังแข็งแรง และคงไว้ซึ่งอำนาจ รำพึงเบาๆกับชายฉกรรจ์อายุ 50ปีเศษ ในชุดนักโทษที่ยืนพินอบพิเทาอยู่ข้างๆ
“แม่นจริงๆ กูไม่คิดว่าจะแม่นอย่างนี้ เลยปล่อยไปตามเรื่องตามราว ปล่อยไปตามพรหมลิขิต คิดว่าไม่มีแผ่นดินอยู่ ก็แค่ขายบ้านขายช่อง ไม่นึกว่าจะรุนแรงขนาดนี้……..”
พูดพลางทอดสายตาไปยังกำแพงคอนกรีตสูงที่ขวางอิสระภาพอยู่เบื้องหน้า ขณะที่ชายฉกรรจ์ผู้เยาว์วัยกว่า ยังคงยืนฟังอยู่อย่างตั้งใจ
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ชายสูงวัยจำขึ้นใจว่าคำทำนายนี้ เป็นของพระครูที่อุปัชฌาย์ให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจหนุ่มผู้หนึ่ง เป็นผู้เอ่ยปากทายทักดวงชะตา ขณะกลับไปบวชทดแทนคุณพ่อแม่ ที่วัดบ้านหมอ จ.สระบุรี
ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมหลับตาย้อนภาพอดีตกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
————————————
โรงพยาบาลพระมงกุฎ กรุงเทพมหานคร
ใกล้บ่ายสามโมง วันที่ 28 ส.ค.2481
จ่าแช่ม หรือครูแช่ม เกิดเทศ ครูฝึกทหารม้า ม.พัน 1 รอ. เดินกระสับกระส่ายวนไปวนมาอยู่หน้าห้องทำคลอด ที่“ทองคำ”เมียรัก แม่ค้าขายขนมย่านบางพลัด กำลังให้กำเนิดพยานรักเป็นคนแรก
ไม่นานนัก พยาบาลสาวใหญ่อุ้มห่อผ้าท่าทางทะมัดทะแมง เดินดิ่งตรงมาหา จ่าแช่ม ก่อนเอ่ยปากแสดงความยินดี
จ่าแช่มมองเต็มตาด้วยความปลาบปลื้ม เห็นทารกเพศชาย หน้าตาน่ารักน่าชัง รูปร่างจ้ำม่ำ ตัวแดงๆนอนตาแป๋วมองผู้เป็นพ่อ อยู่ในห่อผ้าที่พยาบาลอุ้มกระชับไว้ในวงแขน
“เอ้า…ดูมันมอง ตากลมโตเชียว ชื่อไอ้เบิ่งแล้วกันล่ะมึง…”
จ่าแช่ม พูดเบาๆกับตัวเอง พลางคิดในใจวาดฝันไว้ว่า ไอ้เบิ่ง ลูกกูคนนี้ ต่อไปจะต้องโตเป็นทหาร เป็นนายทหารม้า ไม่ใช่ครูฝึกกระจอกๆอย่างพ่อมัน….
วันเวลาผ่านไป เด็กน้อยเบิ่ง โตวันโตคืน จนถึงช่วงตั้งไข่ ร่างกายดูจะแข็งแรงเกินเด็กรุ่นราวคราวเดียว
“ให้มันชื่อ “ชลอ” ก็แล้วกัน การอะไรที่มันไม่ดีกับตัวมัน ชื่อมันจะได้ยั้งๆเอาไว้บ้าง…”
แต่พอคล้อยหลัง 3 คนพ่อแม่ลูก พระครูรูปนั้นหยิบกระดานชนวนขึ้นมาพิจารณาเลขผานาฑีอีกครั้ง เพราะดวงชะตาของเจ้าเด็กน้อยเบิ่งคนนี้ มันออกมาชอบกลนัก
———————————
ช่วงชั้นประถม เด็กชายชลอ เกิดเทศ เปลี่ยนสถานที่เรียนไปเรื่อย เพราะต้องย้ายตาม จ่าแช่ม หัวหน้าครอบครัว ที่ได้รับคำสั่งเดินทางไปรับราชการตามจังหวัดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ กาญจนบุรี สระบุรี โดยเลื่อนยศเป็น ร้อยตรี ร้อยโท และร้อยเอก ตามลำดับ
กระทั่ง ร้อยเอก แช่ม เลื่อนยศเป็น พันตรี ตำแหน่งหัวหน้าแผนก กรมการสัตว์ กองทัพบก กรุงเทพมหานคร เด็กชายชลอ ไม่ต้องเร่ร่อนเปลี่ยนที่เรียนอีกแล้ว
“ไอ้เตี้ย….เร็วโว้ย เตะบอลกัน….”
เพื่อนอำนวยศิลป์รุ่น 500 คนหนึ่งตะโกนเรียก เด็กชายชลอ ขณะรวมกลุ่มเตะฟุตบอลกันในช่วงเช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ
“ไอ้ห่า มึงว่ากูเตี้ย มึงน่ะเตี้ยกว่ากูอีก ฮ่าๆๆๆๆ……”
เด็กชายชลอหัวเราะดังลั่นตามสไตล์ หลังสวนกลับเพื่อนปากดีที่รูปร่างเตี้ยกว่าคนนั้น ก่อนวางปิ่นโตที่ “แม่ทองคำ”เตรียมกับข้าวกับปลาไว้ให้
และไอ้เตี้ย ของเพื่อนๆคนนี้ ได้กลายเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนในเวลาต่อมา
แต่ก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวเท่าไหร่ เพราะเด็กชายชลอ รักที่จะรวมกลุ่มกับเพื่อนวัยเดียวกัน ขี่จักรยานเสือหมอบ เอามือเกี่ยวรถราง ตระเวนไปทั่วเกาะบางกอกเสียมากกว่า
———————————
ปี พ.ศ.2498-2499 นายชลอ อายุย่าง17-18 ปี เรียนจบชั้นมัธยมปลาย พันตรี แช่ม ที่หวังให้ลูกชายคนโตเจริญรอยตามเป็นนายทหาร พาไปสมัครสอบโรงเรียนเตรียมนายร้อยจปร. (อีก 2ปีต่อมา ยุบเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร) ที่สะพานมัฆวาน
“ชลอ” ไม่ทำให้ พันตรี แช่ม ผิดหวัง สอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมนายร้อยจปร. รุ่นที่ 17 ได้สมความตั้งใจของผู้เป็นพ่อ
แต่มีเหตุบังเอิญที่ทำให้ชีวิตต้องพลิกผันมาสวมเครื่องแบบตำรวจ
ที่สำคัญ นักเรียนเตรียมนายร้อย ชลอ เป็น1 ในกลุ่มบ๊วย ถูกโอนมาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่น 15
พันตรี แช่ม ผู้พ่อ เมื่อรู้ว่าลูกชายคนโตที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นนายทหารตามที่วาดฝันไว้ ถูกโอนไปเป็นตำรวจ ถึงกับโกรธ ไม่ยอมคุยด้วยไปพักใหญ่
แต่หนุ่มน้อยชลอ รู้ว่า แท้จริงแล้วพ่อภูมิใจในตัวเขามาก…..
————————————
ชีวิตในรั้วสามพราน 2 ปีแรก นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชลอ รหัสประจำตัว1110009 พร้อมเพื่อนสนิท
จนช่วงปี 3 ด้วยความที่อ่อนภาษาอังกฤษ พอใกล้สอบจึงไปขอติวกับอาจารย์แหม่ม ครูชาวอเมริกัน สอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ที่บ้านพักหลังโรงเรียน
เหมือนชะตาต้องกัน แถม “เดวิด”น้องชาย “มิเชล”ยังเป็นใจ
ชลอยอมรับกับเพื่อนสนิทใกล้ชิดว่า วันไหนไม่เจอ มิเชล วันนั้นมีความรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปในชีวิตประจำวันสักอย่าง
วันหยุดเสาร์-อาทิตย์เพื่อนๆคนอื่นออกนอกโรงเรียนกลับบ้านกลับช่อง แต่นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชลอ ไม่ไปไหน
จน เดวิด พลาดท่าพลัดตกหลังควายแขนหัก เรื่องเลยเป็นที่รู้กันไปทั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานว่า
แรกๆอาจารย์แหม่ม ไม่ได้ว่าอะไรมาก แต่หลังๆเห็น นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชลอ หนักข้อ เทียวไล้เทียวข่ือไม่เลิกลา เลยเรียกมาเจอที่ห้องพักครูก่อนเอ่ยปาก
“YOU GO BACK TO LEARNING………”
นักเรียนนายร้อยตำรวจ ชลอ เสียใจมาก แต่ก็เศร้าอยู่ได้ไม่นาน
คราวนี้เข้าทาง เพราะไปเจอเพื่อนที่รู้จักกันมาก่อนหน้า “พันธ์เทพ อรรถไกวัลวที” ลูกชายหลวงอรรถไกวัลวที ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คนแรกของประเทศไทย
ขับรถเก๋งสปอร์ต เอ็มจี สีแดงเปิดประทุนพาเที่ยวกินเหล้าเข้าคลับเข้าบาร์ ขากลับพาพาร์ตเนอร์สาวเต็มรถส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
ส่งผลให้หนุ่มไทยลืมสาวน้อยอเมริกันไปชั่วขณะ
แต่ลึกไปที่ก้นบึ้งของหัวใจ ชลอ เกิดเทศ ยังเฝ้าถวิลหา มิเชล สาวน้อยอเมริกันอยู่มิรู้ลืม….
———————————