Friday, November 22, 2024
More

    10.อาถรรพณ์

    ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ  โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์

    “เข้ามาได้”

    ชลอส่งเสียงอนุญาต หลังเสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น ระหว่างนั่งตรวจสำนวนอยู่บนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระนครศรีอยุธยา
    “นาย…ไอ้พวกขุดกรุพระมันเอากันอีกแล้ว”
    จ่าเจิม ภู่สุดแสวง ตำรวจคู่ใจเอาข่าวมาบอก
    “คราวนี้มันย้อนกลับไปขุดที่วัดใหญ่อีก”
    จ่าเจิมหมายถึงวัดใหญ่ชัยมงคล หรือวัดป่าแก้ว วัดโบราณที่สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง เมื่อปี พ.ศ.1900
    ต่อมาในรัชสมัยพระนเรศวรมหาราช ทรงเสริมพระเจดีย์ให้ใหญ่และสูงขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติเมื่อคราวทรงชนะศึกยุทธหัตถี พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดไชยมงคล”  ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหญ่ไชยมงคล
    “มันช่างไม่กลัวบาปกรรมเหลือเกิน…”
    ชลอรำพึงในใจ ก่อนถามความเห็นว่าน่าจะเป็นแก๊งใคร
    “ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือแก๊งเดิม แก๊งจ่าหงวน ที่มีอดีตปลัดอำเภอเป็นหัวหน้าแก๊งครับ…เพราะแก๊งอื่น เราจัดการแทบจะสูญพันธ์หมดไปแล้ว”
    จ่าชูตอบนายตำรวจผู้เป็นนาย ที่กำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนกำลังใช้ความคิด
    พันตำรวจตรีชลอ มองออกนอกหน้าต่างที่ทำงานชั้น 2 ทอดสายตาไปยังที่ตั้งวัดใหญ่ ไม่ทันได้ยินเสียงจ่าชูพูด
    เพราะกำลังนึกไปถึงเมื่อครั้งยังเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวนอยู่ที่นี่ เมื่อหลายปีก่อน
    ภาพเก่าๆเริ่มปรากฏ ขณะนั้นเขากำลังเข้าเวรออกตรวจไปตามพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะเขตพระราชวังโบราณ ที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
    เขตพุทธาวาสอันเป็นที่ตั้งของวัดพระศรีสรรเพชญ์ และเขตพระราชฐาน อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังโบราณ ประกอบด้วยปราสาทราชมณเทียรและพระที่นั่งต่างๆ ที่เหลือแต่ซากของฐานสิ่งก่อสร้างอันเป็นผลมาจากการเสียกรุงครั้งที่ 2
    ———————————————
    คืนนั้น นายตำรวจหนุ่มยศร้อยตำรวจโท ออกตรวจไปกลางดึกผ่านไปถึงวังโบราณ ที่เป็นส่วนของพระที่นั่งต่างๆ
    ขณะรถสายตรวจแล่นผ่านอย่างช้าๆ ผ่านพระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาท สร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ใช้เป็นที่ประกอบพระราชกิจหลักและพระราชพิธีสำคัญ
    เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีรับแขกเมือง ที่เหลือแต่ซากรอยอดีต
    นายตำรวจหนุ่มสังเกตเห็นร่างตะคุ่มๆของชายคนหนึ่งนอนอยู่ใต้ต้นพุทรา จึงให้สัญญาณพลขับหยุดรถ และใช้สปอร์ตไลท์ฉายไปที่ร่างชายคนดังกล่าว ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
    ชลอตัดสินใจลงจากรถเดินถือไฟฉายเข้าไปใกล้ๆ มองเห็นลอบดักปลาขนาดใหญ่วางอยู่ข้างๆชายหนุ่มวัยรุ่นรูปร่างผอมสูง อายุอานามน่าจะประมาณ 23-24 ปีไม่เกินนี้
    “เฮ้ย…ลุก ไอ้หนุ่มลุกเร็ว…”
    ชลอเขย่าตัวชายหนุ่มคนดังกล่าวให้รู้สึกตัว กระทั่งมันลุกขึ้นมาทำท่าเหวอๆ

    “อ้าว…นี่มันของโบราณ มึงเป็นพวกขุดกรุนี่หว่า…ใช่มั้ย”
    ชลอเริ่มเสียงดัง เพราะเมื่อเปิดลอบจับปลาหยิบวัตถุลักษณะเป็นแท่งยาวค่อนข้างหนักออกมา
    กลายเป็นพระแสงดาบพร้อมฝัก ประดับด้วยเพชรนิลจินดา ส่งแสงล้อไฟระยิบระยับสวยงาม เชื่อว่าต้องเป็นของพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูง
    “มึงชื่ออะไร ไปขุดมาจากที่ไหน…”
    ยังไม่ได้คำตอบแรก ชลอกระแทกคำถามใหม่อีกครั้ง
    “ผมชื่อตุ๊ครับ…ผมเพิ่งไปขุดมาจากใต้ฐานวังเก่า มีของมีค่าตั้งหลายอย่าง ผมเห็นดาบด้ามนี้สวยกว่าชิ้นอื่นๆ เลยหยิบใส่มาอันเดียว
     
    ตั้งใจจะรีบเดินกลับบ้านนอนเพื่อเอาของไปขายแต่เช้า แต่ผมเดินเท่าไหร่ก็หาทางออกไม่ได้สักที เดินจนหมดแรงเลยล้มตัวนอนใต้ต้นพุทรา ก่อนนายจะมาปลุกล่ะครับ…
    ชลอฟังก่อนใช้ไฟฉายส่องทั่วบริเวณ เห็นรอยขุดเป็นช่องอยู่ที่ใต้ฐานเจดีย์องค์เล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆห่างไม่เกิน 10 เมตร
    ยังพอเห็นกองดินพะเนินอยู่ข้างๆ มีวัตถุโบราณหลายอย่างเปรอะเปื้อนดินโคลนเป็นคราบวางระเกะระกะ จึงให้สายตรวจช่วยกันรวบรวมเก็บเอาไปไว้บนรถสายตรวจ
    ที่น่าแปลก ใต้ต้นพุทรา มีแต่รอยเท้าเดินย่ำไปในลักษณะทับไปทับมาวนเป็นร่องวงกลม
    ลูกน้องสายตรวจที่มาด้วย เดินมากระซิบบอกเบาๆ
    “นาย…ท่าทางไอ้ตุ๊ มันโดนอาถรรพณ์ ของที่มันขุดดูแล้วน่าจะเป็นของกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง
    ผมเชื่อว่าวิญญาณที่เฝ้าสมบัติคงให้มันเดินวนรอบต้นพุทราหาทางออกไม่ได้ มากกว่า ….”
    ไม่ทันขาดคำ กระแสลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านร่างนายตำรวจหนุ่ม จนขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
    ————————————————-
    วันรุ่งขึ้นหลังประสานกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรให้มาตรวจสอบกรุ และมารับของบางส่วนที่เก็บไว้ได้ในที่เกิดเหตุ
    ชลออยู่ในห้องพักนายตำรวจบนสถานีตำรวจ
    ตาของชายหนุ่มจับจองไปที่วัตถุชิ้นหนึ่งที่ยึดมาได้จากปากกรุ เป็นลักษณะกระโถนปากแตร ที่ยังมีรอยคราบโคลนจนดำเกรอะกรังไปหมด
    แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรและนักโบราณคดีเข้ามาทำความสะอาดวัตถุ โบราณล้ำค่า
    กระโถนปากแตรดำที่นายตำรวจหนุ่มมองอยู่ เปิดเผยเนื้อในเป็นทองคำแท้เหลืองอร่ามสุกสกาววาววับสวยงาม
    “ต้องขอบคุณผู้หมวดมากครับ ที่สามารถจับกุมคนร้ายพร้อมของกลางไว้ได้ เพราะมันเป็นสมบัติของแผ่นดินที่มากมายด้วยคุณค่าไม่สามารถประเมินเป็นราคาได้
     
    ส่วนที่กรุ เราพบวัตถุโบราณน่าจะเป็นของใช้ของพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูงในสมัย นั้นอีกจำนวนมาก…”
    เจ้าหน้าที่ชายต่างหน่วยที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บังคับบัญชาเอ่ยปากกับชลอ พร้อมระบุว่าจะนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา ถนนโรจนะ ในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา
    ชลอรู้มาบ้างว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นสถานที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่พบภายในพระนครศรีอยุธยา ซึ่งล้วนแต่เป็นวัตถุที่มีคุณค่ายิ่งในการศึกษาภูมิหลังของราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาอย่างเป็นรูปธรรม
    ได้มาจากกรุสมบัติเครื่องทองต่างๆ เช่น วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ และเจดีย์ศรีสุริโยทัย
    โดยจุดเริ่มแรกมาจากเหตุคนร้ายลักลอบขุดกรุปรางค์วัดราชบูรณะ พบสมบัติล้ำค่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องทอง ทางราชการสามารถจับคนร้ายพร้อมของกลางได้ส่วนหนึ่ง
    ในเวลาต่อมา การขุดค้นโดยทางราชการทำให้ประมาณได้ว่าในกรุนี้มีทองคำทั้งหมดหนักถึงกว่า 100 กิโลกรัม
    ในส่วนพระพิมพ์ซึ่งมีจำนวนมาก ทางราชการได้เปิดให้ประชาชนเช่าไปบูชา ได้เงินมาจำนวนหนึ่งจึงจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์หลังแรกขึ้น
    นำเครื่องทองและโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่ได้จากกรุปรางค์วัดราชบูรณะมาจัดแสดง และให้ชื่อว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ตามพระนามของกษัตริย์ผู้สถาปนาวัดราชบูรณะ
    จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อปีพุทธศักราช 2504
    ———————————————–
     
    “นายจะให้ผมดำเนินการอย่างไรต่อไปครับ…”
    เสียงจ่าชู จ่ากองอาวุโส นักสืบคู่ใจ กระชากให้พันตำรวจตรีชลอ พ้นจากภวังค์กลับมาสู่ภาวะปัจจุบันอีกครั้ง
    “ตามมัน ตามรอยมัน ได้ข่าวอะไรรายงานตรงผมทันที”
    นายตำรวจหนุ่มสั่งการเสียงเหมือนกระซิบ นัยน์ตาทั้งคู่ของชลอมองไปที่ดวงตาสีเหล็กของจ่าเจิม
    ขณะที่จ่ากองอาวุโสมองตานายตำรวจผู้บังคับบัญชาตอบอย่างเข้าใจ ก่อนก้มหัวคำนับแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานทันที
    นี่กระมัง…แบบที่เขาเรียกว่ามองตาก็รู้ใจ
    จ่าเจิม หายหน้าหายตาไปจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระนครศรีอยุธยา ไปอาทิตย์กว่าๆ โดยไม่มีใครรู้ว่า จ่ากองอาวุโสผู้นี้ไปไหน
    แต่ทันทีที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กลับมาถึง เมื่อรู้ว่าผู้บังคับบัญชาหนุ่มไม่ได้อยู่ที่โรงพัก เพิ่งกลับไปพักผ่อนที่บ้านพักหลังสถานี
    เพราะ “ตุ๊กตา”นันทวัน พา กุ้ง และ ปู 2 ลูกชาย เดินทางมาเยี่ยม เขาจึงรุดไปทันที
    “เอ้า…จ่าเจิม กลับมาแล้วหรือ ”
    พันตำรวจตรีชลอเอ่ยปากทักนักสืบรุ่นใหญ่ของโรงพัก ขณะนั่งเล่นอยู่กับลูกชายทั้งคู่ 
    ขณะที่จ่าเจิมยกมือไหว้ผู้บังคับบัญชารุ่นน้อง ก่อนยืนรออยู่หน้าบ้านอย่างมีมารยาท
    นายตำรวจหนุ่มผู้บังคับบัญชา เดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นรินใส่แก้ว เดินตามออกไปให้นายตำรวจชั้นประทวนรุ่นพี่ดื่มดับกระหาย ปล่อยให้ “ตุ๊กตา”ดูแลลูกชายต่อ
    จ่าเจิมกระดกน้ำเย็นพรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
    ————————————————
    “นาย…ผมตามจ่าหงวนไปถึงบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี เมียมันเป็นคนที่นั่น ได้ข่าวว่าว่ามันเอาเพชรนิลจินดา เครื่องทองโบราณไปให้แม่ยายเก็บไว้
    แต่อีท่าไหนไม่รู้ จะเป็นเพราะความโลภหรืออาถรรพณ์ของกษัตริย์กรุงศรีฯ แม่ยายมันสั่งให้ลูกสาวเลิกกับไอ้หงวน คงหวังฮุบเอาทรัพย์สินที่มันมาฝาก
    จากนั้นได้ข่าวว่าแม่ยายมันเอาทรัพย์สินทั้งหมดไปขายที่ร้านทองในตัวเมืองอุบลฯ…”
    จ่าเจิม นิ่งอยู่อึดใจก่อนกล่าวต่อว่า
    “แต่คืนวันที่แม่ยายไอ้หงวนเอาเพชรพลอยไปขายร้านทอง ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าร้านทองแห่งนั้นจะเกิดไฟไหม้ คนในร้านทองถูกไฟเผาคลอกตายหมดทั้งบ้าน…”
    “แล้วไอ้หงวน ตอนนี้มันอยู่ไหน….”
    นายตำรวจหนุ่มถามต่อ
    “ไอ้หงวน ตอนนี้มันเป็นบ้าอยู่ที่สถานีรถไฟอุบลฯ บ้าจริงครับ ผมตามไปดูแล้ว มันเป็นบ้าหลังจากแม่ยายกับเมียมัน ถูกรถชนตายทั้งคู่หลังจากเกิดไฟไหม้ร้านทองวันเดียว
     
    มันเดินแหกปากร้องห่มร้องไห้ให้คนช่วยทั้งวัน บอกว่ามีนักรบโบราณถือตามฆ่า …”
    จ่าเจิมเล่าเหตุการณ์ประหลาดๆที่เกิดขึ้นให้นายตำรวจหนุ่มฟัง
    “แปลกดีแฮะ…    เป็นไปได้อย่างไร เอ้าผมก็มีเรื่องเล่าให้จ่าฟังเหมือนกัน
    ช่วงที่จ่าไม่อยู่ ไอ้ปลัดอำเภอหัวหน้าแก๊ง ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว หลังตำรวจกองปราบฯจับได้คาหนังคาเขาขณะกำลังซื้ดยาอยู่บนบ้าน หมดอนาคตไปแล้ว
    ส่วนลูกน้องมันอีก 2-3 คน ก็พอๆกัน คนหนึ่งเดินไปให้รถไฟทับคอขาดเหมือนคนละเมอ
    อีกคนอยู่ดีๆก็คลุ้มคลั่งเชือดคอเชือดแขนตัวเองตายซะอย่างงั้น…”
    ชลอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในพระนครศรีอยุธยาระหว่างที่ จ่าเจิม ไม่อยู่
     
    “ดีเหมือนกัน…ไม่ต้องออกแรง ไอ้พวกห่านี่มีอันเป็นไปกันเองหมด ไม่เรียกว่าอาถรรพณ์ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว…”

    นายตำรวจหนุ่มพูดจบ ลมวูบหนึ่งพัดมากระทบเนื้อตัวของตำรวจทั้งคู่จนเย็นยะเยือกทั้งๆที่แดดยังจ้าอยู่

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments