กลางเดือนที่ผ่านมาตำรวจ 191 เปิดฉากลุยเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่จับยาบ้าเกือบ 6 ล้านเม็ด
ประเด็นสำคัญคือพบว่าใช้ที่พักอาศัยย่านชานเมืองเป็นแหล่งพักยานรกก่อนใช้กองทัพมดขนขายในชุมชนเมืองหลวง
นั่นเป็นต้นเหตุให้ตำรวจนครบาลหันมาเปิดฉากสงครามยาเสพติดกับผู้ค้ารายใหญ่หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เร่งกวาดล้างกลุ่มผู้ค้ารายย่อยตามชุมชนสำคัญในนครบาล
ปฏิบัติการนี้เปิดฉากโดยตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ หรือตำรวจ 191 ทำให้เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาตำรวจนครบาลสามารถสืบสวนแกะรอยรวบแก๊งขนส่งยาบ้ารายสำคัญในเป้าหมายไว้ได้ถึงสามแก๊งด้วยกันพร้อมด้วยของกลางยาบ้าเกือบ 6 ล้านเม็ด
เป็นที่รู้กันดีว่าบ้านเรายังคงถูกใช้เป็นทางผ่านการลำเลียงยานรกของขบวนการยาเสพติดจากแหล่งผลิตไปยังกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
พ.ต.อ.ปิยรัช สุภารัตน์ ผู้กำกับการสายตรวจ 191 กองบังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล หัวหน้าชุดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดครั้งนี้ บอกให้รู้ว่า
ที่ผ่านมาขบวนการยาเสพติดมักจะฉวยโอกาส หลบเลี่ยงทุกวิถีทางให้ยากต่อการตรวจสอบ มีการเฟ้นหาวิธีปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การ “ผลิต-ขน-ค้า” ตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดเพื่อไม่ให้ตำรวจจับกุมได้
นั่นทำให้ยาบ้ายังคงทะลักเข้ากรุงเทพฯ แม้ว่าเส้นทางขนยาเสพติดจากเหนือ-อีสาน จะเต็มไปด้วยด่านตรวจยาเสพติดและเครื่องเอ็กซเรย์รถยนต์ต้องสงสัย
“ลองคิดดูครับหากยาบ้าของสามแก๊งนี้ ล็อตใหญ่ขนาดนี้ หลุดเข้ามายังชุมชนเมือง ลูกหลานของเราจะเป็นยังไงบ้าง”
พ.ต.อ.ปิยรัช บอกให้ผมรู้เมื่อครั้งนั่งสนทนากกันเมื่อสัปดาห์ก่อน
ผู้กำกับปิยรัช ยังบอกว่า หากตำรวจไม่ใช้ไหวพริบช่างสังเกต ใช้ความเข้มในการตรวจจับ ตลอดจนการข่าวที่ดีก็ยากต่อการสกัดกั้นตรวจจับตัดวงจรการแพร่ระบาด
แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐจะใช้ไม้แข็งปราบปรามอย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการตัดช่องทางการแพร่ระบาดของยาเสพติด
แต่ก็พบว่าขบวนการเหล่านี้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยเลือกใช้พื้นที่ปริมณฑลเป็นจุดพักยา ก่อนลำเลียงเข้ากรุงในรูปแบบของกองทัพมดที่ขนคนละเล็กละน้อยไปยังชุมชนเพื่อจำหน่ายรายย่อย
วิธีการนี้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของแก๊งค้ายาที่ทำให้ยายังทะลักเข้ากรุงเทพฯอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้รอบเดือนที่ผ่านมา พล.ต.ต.สำราญ นวลมา ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (ผบก.สปพ.) ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ปิยรัช นำกำลังสืบสวนรวบรวมข้อมูลหลังจากได้เบาะแสว่าแก๊งยาเสพติดกำลังเตรียมลำเลียงยาบ้าจำนวนมากจากจังหวัดรอบกรุงเทพฯเข้ามาจำหน่ายให้กับผู้เสพและผู้ค้ารายย่อย
จากการรวบรวมข้อมูลพบความเครื่องไหวสามแก๊งด้วยกัน จึงได้ส่งสายลับฝังตัวเพื่อรวบรวมหลังฐานและติดตามความเคลื่อนไหว โดยใช้เทคนิคการสะกดรอย และการแกะรอยจากอุปกรณ์อิเล็คทรอนิค
นั่นทำให้เครือข่ายยาเสพติดทั้ง 3 แก๊ง ถูกรวบเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 9 คน พร้อมยาบ้ากว่า 5.7 ล้านเม็ด ยาไอซ์กว่า 1 กิโลกรัม อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. พร้อมเครื่องกระสุน รถยนต์ 7 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คัน และเงินสด 3.7 ล้านบาท
ผมยกหูไปคุยกับ พล.ต.ต.สำราญ เพราะเห็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ก็พบว่า ตำรวจ 191 ให้ความสำคัญกับยาเสพติดในชุมชนด้วยเพราะเป็นต้นทางของปัญหาอาชญากรรมทุกรูปแบบ จึงเน้นไปที่การป้องกันยาเสพติดและอาวุธปืนไม่ให้เข้ามาแพร่ระบาดในกรุงเทพฯ
ซึ่งเครือข่ายทั้งสามมีแผนประทุษกรรมคล้ายกัน โดยใช้พื้นที่กรุงเทพชั้นนอกและปริมณฑลโดยรอบเป็นจุดพักยา ก่อนกระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง
ทั้งนี้ในส่วนความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้สั่งการให้ชุดสืบสวนหาข่าวทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ก่อนขยายผลไปยังต้นตอของเครือข่าย พร้อมนำพรบ.ยึดทรัพย์ และพรบ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาใช้ในการเอาผิดทั้งผู้ค้า ผู้บงการ-จ้างวาน และผู้ที่เกี่ยวข้องการเงินทั้งหมด ถือเป็นการตัดวงจรของยาเสพติดให้ครบวงจร
ในขณะที่ พ.ต.อ.ปิยรัช ปิดท้ายว่า ทันทีที่มีการแจ้งเบาะแส ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุ 191 จะประสานมายังตำรวจงานสายตรวจ เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบ และหากเป็นการรับแจ้งเบาะแสยาเสพติดหรืออาวุธปืน เจ้าหน้าที่งานสายตรวจก็จะรวบรวมข้อมูล ก่อนลงพื้นที่ไปเพื่อทำการสืบสวนหาข่าว
ขณะเดียวกันได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กวดขันตั้งจุดตรวจสกัดในพื้นที่เสี่ยงเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดและอาวุธปืนด้วย
อย่างไรก็ตามหากประชาชนต้องการแจ้งเบาะแสสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 191 และเฟสบุ๊ก “สายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191” ตลอด 24 ชั่วโมง
แน่นอนครับเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว ยาเสพติดยังคงเป็นปัญหาต้นทางของสังคมเมือง
หากตำรวจยังกดไว้อยู่ไม่ให้กระเพื่อมนั่นย่อมดีไม่น้อย
จากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
โดย วัสยศ งามขำ ฉบับวันจันทร์ที่ 3 มิ.ย.2562