ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
ร่างไร้วิญญาณของ กุ้ง-ชอบรบ ถูกนำไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนาที่วัดแห่งหนี่งในอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ใกล้บ้านนางทองคำ เกิดเทศ ย่าของหนุ่มน้อย
ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของสมาชิกทุกคนในครอบครัว “เกิดเทศ” โดยเฉพาะนางทองคำ ผู้ป็นย่า ที่ต้องสูญเสียหลานชายคนโปรดไปอย่างไม่มีวันกลับ
พี่น้องเพื่อนฝูงคนรู้จัก ต่างแสดงความเสียใจกับชลอ ที่ต้องสูญเสียลูกชายไปครั้งนี้ และถึงแม้ทุกคนจะรู้สึกแปลกๆว่า กุ้ง-ชอบรบ จะมาเสียชีวิตเพราะจมน้ำได้อย่างไร เพราะมีข้อสงสัยหลายเรื่อง
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดกันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ลูกชายคนโตของนายตำรวจมือปราบอย่างชลอจะเสียชีวิต เพราะถูกฆ่ากดน้ำ
แม้แต่ผู้บังคับบัญชาของชลอเองแต่ละคนก็ไม่มีใครยืนยันฟันธงถึงการเสียชีวิตอันปริศนาครั้งนี้กันอย่างเป็นทางการ
ถึงทุกคนจะรู้อยู่เต็มหัวใจว่า ถ้าเป็นไปในประเด็นฆาตกรรม มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำแบบนี้กับชลอได้
คนๆนั้นก็คือ ไอ้หยอง-สมชาย พงษ์สว่าง ลูกชายสุดรัก มาเฟียใหญ่ ไบคาน
—————————————————————-
ทุกคืน หลังแขกเหรื่อกลับไปหมด ก่อนเขาจะกลับไปพักผ่อน ชลอจะกระซิบบอก กุ้ง-ชอบรบ ลูกชายที่เขาคาดหวังจะมารับราชการเป็นตำรวจเหมือนเขา แต่ตอนนี้ต้องกลับมานอนสงบนิ่งอยู่ในหีบศพลายเทพพนมที่ประดับด้วยดอกไม้สด สวยงาม
กระทั่งถึงวันที่ร่างไร้วิญญาณของลูกชายคนโตถูกนำขึ้นไปสู่เมรุ
นายตำรวจหนุ่มใหญ่ ยืนรับแขกทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ ญาติสนิทมิตรสหายคนรู้จักมักคุ้นที่มีทั้งแต่งกายในชุดดำชุดขาว หรือไม่ก็อยู่ในเครื่องแบบตำรวจ-ทหาร
รวมทั้งเพื่อนนักเรียนโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ของกุ้ง-ชอบรบ ที่ทยอยกันเดินขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์บนเมรุ
จนถึงเวลาเผาจริง สมาชิกในครอบครัวแต่ละคน เดินขึ้นไปไว้อาลัยกับกุ้ง-ชอบรบ และเปิดหีบศพเป็นครั้งสุดท้ายเพื่ออำลา
หนุ่มน้อยทายาทคนโตของนายตำรวจมือปราบ นอนนิ่งดูแล้วเหมือนหลับสนิท แต่ก็ทำให้แต่ละคนต้องร่ำไห้กันอย่างไม่มีใครอายใคร ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา-นันทนา แพทย์สมาน แม่ของกุ้ง ที่ดึงเลือดเนื้อเชื้อไขที่เหลืออีก 2 คน คือ ปู-ชนม์ยืน ลูกชายคนกลางที่อายุเพิ่งจะ 10 ขวบ และปลา -กุมาริกา ลูกสาวคนเล็ก วัย 7 ขวบ เข้ามากอด ร่ำไห้ไปทั้ง 3 คนแม่ลูก
ขณะที่นางทองคำ ผู้เป็นย่าร้องไห้จนเป็นลมล้มแล้วล้มอีก เช่นเดียวกับ ใหญ่-สุรางค์ พลทรัพย์ ที่ทำหน้าที่เหมือนแม่อีกคนของกุ้ง ก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่แพ้กัน
ทำให้ชลอ ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกเศร้าโศกไว้ในใจ และต้องแสดงความเป็นเสาหลักของครอบครัวให้ทุกคนได้เห็น
กระทั่งสัปเหร่อ และเจ้าหน้าที่วัด ต้องบอกกับครอบครัวผู้วายชนม์ว่า ถึงเวลาต้องจากกันแล้ว
ภาพที่อยู่ตรงหน้า ชลอเห็นแล้วถึงกับอกสะท้อน เขายืนอยู่หน้าหีบศพลูกชายที่กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงในเตาเผา
“ไปดีเถอะนะกุ้ง…ไม่ต้องห่วง ไอ้พวกที่มันทำกับกุ้ง เดี๋ยวพ่อจะจัดการมันเอง…..”.
นายตำรวจผู้สูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก แทบจะทรุดลงอยู่กับพื้น แต่ยังสะกดกลั้นรวบรวมความเข้มแข็ง แข็งใจเดินลงมาขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมไว้อาลัยให้กับลูกชายเขา
ขณะเดียวกัน เขามองไปที่กลุ่มควันที่ลอยออกมาจากปล่องเมรุเป็นระยะๆพร้อมสาบานในใจ
“
ไอ้หยอง ถ้ามึงไม่ตายดี แสดงว่าไม่ใช่กู ชลอ เกิดเทศ………”
———————————————————
หลังจากเสร็จงานศพลูกชายคนโต เขาเพิ่มความระมัดระวังตัวในการไปไหนมาไหนมากขึ้น พร้อมกับให้ ตุ๊กตา-นันทนา แพทย์สมาน ส่งลูกๆกลับมาอยู่ในความดูแลของเขาอีกครั้ง
พร้อมกันนั้น ชลอเพิ่มความเข้มในการกวาดล้างสมุนไบคานทุกรูปแบบ ทำให้สมุนมาเฟียเชื้อสายปากีฯบางคน ต้องทยอยเข้ามอบตัวกับตำรวจในคดีต่างๆ เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะเหมือนกับหลายคนที่ขาดการติดต่อกับครอบครัวไปเสียเฉยๆ
ขณะเดียวกัน เริ่มมีข่าวการเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศของ ไอ้หยอง เพลย์บอยจอมโหดแห่งชัยบาดาล ที่การข่าวของชลอ รู้มาว่า มันหนีไปกบดานอยู่ในความคุ้มครองของสถานทูตแห่งหนึ่ง ด้วยบารมีของมาเฟียใหญ่ผู้เป็นพ่อ
แต่เขาไม่กล้ารายงานไปยังผู้บังคับบัญชา เพราะเกรงว่า อาจจะถูกตำหนิ และอาจถูกโยงไปถึงเรื่องความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยไม่มีหลักฐานชัดเจน
เป็นเพียงแค่การข่าวเท่านั้น
จนกระทั่งข่าวการหลบหนีออกนอกประเทศของ เสี่ยหยอง –สมชาย พงษ์สว่าง ก็เป็นความจริง
เมื่อ พ.ต.ท.สุนนท์ สุวงศ์ รองผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม ที่ได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจ ให้ช่วยไล่ล่า เสี่ยหยองร่วมกับตำรวจภูธรอีกทาง ออกมายืนยันกับนักข่าวฉบับหนึ่งในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2523 ว่า
การข่าวที่เชื่อถือได้ระบุว่า นายสมชาย พงษ์สว่าง หรือ เสี่ยหยอง ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
หรือเกือบ 1 เดือนที่แล้ว ไล่เลี่ยกับการเสียชีวิตของหนุ่มน้อย กุ้ง-ชอบรบ
ชายหนุ่ม หัวหน้าตำรวจเมืองละโว้ อ่านรายละเอียดการหลบหนีออกต่างประเทศของมาเฟียคู่ปรับจากหนังสือพิมพ์ต่อว่า
รองผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม ให้สัมภาษณ์ว่า ไอ้หยองมีพาสปอร์ต 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นชื่อไทย อีกใบหนึ่งเป็นชื่อแขกปากีสถาน โดยการเดินทางกลับประเทศปากีสถานครั้งนี้ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเมืองเปโซ ได้ลงข่าวการต้อนรับ ไอ้หยอง อย่างเกรียวกราว
ระบุว่า ไอ้หยองเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย แต่ถูกคนไทยกลั่นแกล้ง
รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ยังระบุถึงความยิ่งใหญ่ของไบคานว่า มีฐานะเป็นถึงระดับเจ้าเมืองในปากีสถาน เพราะขนาดไบคานเดินทางกลับถิ่นกำเนิดเมื่อเดือนที่แล้วตำรวจปากีสถานถึงขั้น จัดรถติดไซเรนนำขบวนกันเลยทีเดียว
ชลอ อ่านข่าวการหลบหนีของไอ้หยองแล้วถึงกับกัดฟันกรอด
หนีได้หนีไป กลับเมืองไทยเมื่อไหร่ มึงจบชีวิตเมื่อนั้น !!!!!!
————————————————————-
แต่ก่อนหน้าที่จะมีข่าวไอ้หยอง หลบหนีออกนอกประเทศ
คืนหนึ่งในเขตพื้นที่อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ห่างจากคลองชลประทาน จุดที่ กุ้ง-ชอบรบ เสียชีวิต ประมาณ 2 กิโลเมตร และหลังงานศพเสร็จสิ้นไปไม่กี่วัน
ไอ้ยุ่ง แขกปาทาน สมุนคนหนึ่งของ ไอ้หยอง กำลังเดินกลับบ้านหลังจากต้อนวัวฝูงใหญ่ของเจ้านายมันกลับเข้าคอก
ตะวันเพิ่งจะตกดิน อากาศกำลังเย็นสบาย เพราะฝนเพิ่งซาเม็ดเมื่อไม่นาน มันก้าวเท้าเดินขึ้นบ้านที่ยกพื้นสูงเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่บ้านของ แขกปาทานรายนี้ ค่อนข้างจะอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนคนอื่นพอสมควร
กำลังจะหยิบตะเกียงขึ้นมาจุด มันถึงกับหัวคว่ำคะมำล้มลงไปกับพื้น เพราะมีร่างใหญ่ โผล่มาจากมุมมืดด้านหลัง ใช้ฝ่ามือกดคอ และใช้แรงบังคับดันหลังมันลงไปคว่ำหน้าอยู่กับพื้น
ด้วยความตกใจ มันพยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่ไม่เป็นผล ซ้ำยังเริ่มเจ็บแปล๊บๆที่ลำคอ เพราะใบมีดคมกริบจากมือชายนิรนามที่นั่งทับอยู่บนตัวมัน เริ่มกดน้ำหนักแรงขึ้น จนมันรู้สึกว่ามีเลือดไหลออกมา ทำให้มันต้องหยุดดิ้น แม้รู้ว่า มีใครอีกคนกำลังใช้เชือกมัดเท้า และจับมือทั้ง 2 ข้างมันมัดไพล่หลัง
“ปล่อยกูๆ มึงจะทำอะไรกู ปล่อยกู…….”
ไอ้ยุ่งพยายามแหกปากตะโกน เพราะมันรู้แล้วชีวิต และลมหายใจเริ่มจะเหลือน้อยลงทุกที หลังจากถูกพันธนาการด้วยวธีนี้
ชายร่างใหญ่ที่นั่งทับหลังแขกเลี้ยงวัว ใช้ด้ามมีดพก ทุบผลั่วเข้าไปที่ท้ายทอยไอ้ยุ่งอย่างแรงดังบึ้ก
“จะเงียบได้หรือยังมึง”
ชายร่างใหญ่พูดออกมาด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม พร้อมๆกับมีชายลักษณะท่าทางเป็นหัวหน้า รูปร่างไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่หนาเป็นมะขามข้อเดียว เดินก้าวขึ้นบันไดมาบนบ้านพร้อมกับชายชุดดำอีก 1 คนที่เดินตามหลัง แต่ไม่เข้ามาในตัวบ้าน คอยยืนสังเกตความเคลื่อนไหวจากภายนอกบ้านที่ความมืดเริ่มปกคลุมไปทุกพื้นที่
“ผ้าพันคอผืนนี้ มึงไปเอามาจากไหน”
อาคันตุกะคนใหม่ที่เป็นหัวหน้า ก้มลงนั่งถามไอ้ยุ่ง พร้อมกับถามถึงที่มาของผ้าพันคอแบบวัยรุ่นที่ถืออยู่ในมือ
“ไม่รู้ กูไม่รู้ ของๆกู อยู่ในบ้านกู จะไปเอามาจากไหน….”
ไอ้ยุ่งตอบเสียงดังพร้อมกับเสียงดังผลัวะ จากกระบอกปืนในมืออีกข้างของอาคันตุกะผู้มาใหม่ ที่ตวัดฟาดไปที่ใบหน้าของไอ้ยุ่ง บริเวณกึ่งปากกึ่งจมูกจนฟันหน้ามันหลุดกระเด็นออกมา 2-3 ซี่ ส่วนใบหน้า มันตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อและเลือดที่เปรอะเปื้อนใบหน้า
“ไม่รู้ใช่ไหม ปากแข็งดีนะมึงนี่ ”
ปึ้กๆ เสียงแน่นๆที่เกิดจากกระบอกปืนเหล็กที่ถูกฟาดลงไปบนหน้าของไอ้ยุ่ง 2 ครั้งซ้อน หวดไปทีหนึ่ง เลือดพุ่งกระฉูดออกมาทีหนึ่ง ส่งผลให้ไอ้ยุ่งหน้าตาเริ่มบิดเบี้ยวเหยเก อันมาจากความเจ็บปวดที่เริ่มทวีมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้จะอยู่ในความมืด แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับคนแปลกหน้าทั้งหมด สายตาพวกเขาเริ่มชิน อีกทั้งรู้ว่าตรงไหนของบ้านเป็นอะไร เพราะเข้ามาสำรวจตรวจดูตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ระหว่างที่ไอ้ยุ่งเลี้ยงวัวของไอ้หยอง ผู้เป็นนายอยู่ในทุ่ง
ชายนิรนามผู้เป็นหัวหน้า ลุกเดินไปที่มุมห้องของบ้านไอ้ยุ่ง บริเวณที่เป็นที่เก็บเสื้อผ้า แล้วหยิบชุดกีฬา เสื้อวอร์มกางเกงวอร์มสีเขียว ลักษณะคล้ายเสื้อกีฬาประจำโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี จากนั้นเดินกลับมาหาไอ้ยุ่ง ถามด้วยเสียงที่ชวนขนลุกต่อว่า
“กูถามอีกครั้ง แล้วเสื้อวอร์มกางเกงวอร์มชุดนี้ มึงเอามาจากไหน”
ไอ้ยุ่ง แขกปาทานชะตาใกล้ขาดเงยหน้าหรี่ตามอง
“ไม่รู้ กูไม่รู้ มึงมาค้นบ้านกูทำไม”
หลังไอ้ยุ่ง สมุนไอ้หยอง พูดจบ ปากมันถูกอุดด้วยผ้ายัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก
จากนั้นฉากอันสยดสยองภายในบ้านของไอ้ยุ่งก็เริ่มขึ้น ถึงมันจะแหกปากร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดแค่ไหน ก็ไม่เล็ดรอดออกมาจากปากที่ถูกผ้ายัดไว้
ถ้าไม่มีความมืดแห่งรัตติกาลบดบังไว้ คงได้เห็นฉากการทรมานรีดเค้นหาความจริงอะไรบางอย่างจากอาคันตุกะนิรนามกลุ่มนี้
ไม่ถึง 10 นาที ท่ามกลางลมหายใจอันรวยรินของไอ้ยุ่ง สมุนปาทาน ชายนิรนาม คนที่เป็นหัวหน้ายิ้มอยู่ในความมืดอย่างพอใจ
เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการว่า ผ้าพันคอ และชุดวอร์มที่เคยเป็นของหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาอยู่ในบ้านหลังนี้ มาอยู่ในความครอบครองของไอ้ยุ่งได้อย่างไร
“ทดแทนบุญคุณเหรอ”
ชายนิรนามผู้เป็นหัวหน้า ทวนคำไอ้ยุ่งที่ตอนนี้เสียงมันแหบพร่า จนเขาต้องก้มลงไปฟังใกล้ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเตะเข้าไปที่ใบหน้าของไอ้ยุ่งจนหน้าสะบัด สะเทือนไปทั้งก้านคอ แต่ไอ้ยุ่งก็แทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
เพราะนอกจากเชือกที่รัดคอมัน จนลมหายใจแทบหมด แต่ชายร่างใหญ่ที่นั่งทับอยู่บนหลังไอ้ยุ่งก็คลายเชือกเหมือนรู้วิธี ให้มันมีลมหายใจต่ออีกนิด แล้วรัดอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้ จนทวารทั้ง 9 เริ่มเปิด ไอ้ยุ่งขี้เยี่ยวแตก เพราะใกล้หมดลมเต็มทน
กระทั่งอาคันตุกะแปลกหน้า ยมทูตของไอ้ยุ่ง ได้ข้อมูลทุกอย่างตามที่ต้องการ คนที่เป็นหัวหน้า บอกกับชายร่างใหญ่ที่นั่งทับหลังให้ลุกออกมา โดยตัวเขาขึ้นไปนั่งคร่อมแทน
ชายนิรนามแปลกหน้า หุ่นมะขามข้อเดียว ค่อยๆออกแรงดึงเชือกที่รัดลำคอไอ้ยุ่งให้แรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดไอ้ยุ่ง สมุนไอ้หยอง ก็ดับดิ้นสิ้นใจคามือ ก่อนกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมดจะหายไปจากบ้านหลังนั้น
แต่ก่อนไอ้ยุ่งจะหมดลม มันคล้ายได้ยินเสียงชายคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูดออกมา
“ตายตามลูกกูไปเถอะ….ไอ้ชั่ว”