Saturday, November 23, 2024
More
    Homeตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ 60.ส.ส.ชัยนาทโผล่ให้ข้อมูล   

     60.ส.ส.ชัยนาทโผล่ให้ข้อมูล   

    ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์

       นาย….เรื่องที่ให้ผม หาประวัติผู้มีอิทธิพล คนสนิท มือไม้นักการเมืองในชัยนาท ผมรวบรวมมาแล้วอยู่ในแฟ้มหน้าห้องครับ มีบางส่วนให้ไอ้น้อย มือปืนบ้านไร่ เพื่อนไอ้หรั่ง ดูรูปแล้วยังไม่ตรงกับคนที่มันอ้างว่าไปติดต่อให้มันยิง ส.ส.เลย”

    นายตำรวจหนุ่มนักรักบี้บอกถึงงานที่ผู้บังคับบัญชาหนุ่มสั่งการเมื่อตอนที่ไปทำงานหาข่าวในเขตพื้นที่อุทัยธานี และชัยนาท

    กำลังคุยกันมันๆ มีเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างโต๊ะทำงานของชลอดังขึ้น ผู้กองคก ขยับจะลุก แต่ชลอโบกมือห้าม พร้อมลุกไปรับเอง

    หลังชลอเดินไปรับสาย ผู้กองคก เห็นนายตำรวจรุ่นพี่ ไม่พูดอะไร เป็นฝ่ายฟังซะส่วนมาก เข้าใจว่าคงมีใครโทรศัพท์มาบอกข่าวสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ส่วนชลอ ปากก็ตอบรับครับผม ครับผม อยู่เป็นระยะ นานประมาณ 5 นาที การสนทนาก็จบลง พร้อมกับคำสั่งของรองผู้บังคับการหนุ่มใหญ่มายังผู้กองคก นายตำรวจรุ่นน้อง ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร

    “ไม่ต้องรอ ไอ้เบี้ยวกับไอ้ทองดำ  เดี๋ยวบอกให้มันรออยู่ที่นี่ ส่วนมึงไปกับกูที่กรมตำรวจตอนนี้เลย”

    สั่งเสร็จชลอในชุดซาฟารีสีกรมท่า หยิบแฟ้มเอกสารที่เกี่ยวข้องในคดีนี้บนโต๊ะ พร้อมปืนออโตเมติก บราวนิ่งขนาด 9 มิลลิเมตร ใส่กระเป๋าเอกสารสีน้ำตาลแล้วเรียกให้ จ่าตั๋น ซึ่งนั่งคุยกับเพื่อนตำรวจอยู่หน้าห้องเดินเข้ามาถือกระเป๋า และลงไปเตรียมรถเบนซ์คู่ใจของชลอทันที

    ท่ามกลางความแปลกใจของตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งคู่ เพราะท่าทางนาย ตำรวจหนุ่มคู่กรณีไบคานที่เงียบหายไปเกือบ 1  ปี แล้ว ดูเร่งรีบผิดปกติ

    แต่พอเดาออกว่า ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจคงมีราชการเร่งด่วนให้ไปพบแน่

    อีกไม่ถึง 10 นาที รถยุโรปสัญชาติเยอรมัน สีน้ำเงินเข้มของชลอ เคลื่อนตัวออกจากกองปราบปราม สามยอด ถนนวรจักร พาตำรวจกองปราบทั้ง 3 นาย ฝ่าการจราจรเมืองกรุงมุ่งหน้ากรมตำรวจ ถนนพระราม 1 ทันที

    แต่พอใกล้ถึงกรมตำรวจ ชลอ เปลี่ยนเป้าหมาย สั่งจ่าตั๋น ให้ขับรถผ่านไปที่โรงแรมเอราวัณ ที่ตั้งอยู่บริเวณแยกราชประสงค์ ห่างกรมตำรวจประมาณ 300-400 เมตร

    เมื่อมาถึงชลอ สั่งให้ จ่าตั๋นหาที่จอดรถ ส่วนเขาเดินลงมาจากรถ พร้อมผู้กองคกที่เดินหิ้วกระเป๋าตามมา

    ก่อนเดินเข้าไปในตัวโรงแรม ชลอ และผู้กองคก พร้อมใจยกมือไหว้ศาลท้าวมหาพรหมที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงแรม ริมถนน

    ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เบียดเสียด ผลัดกันเข้าไปกราบไหว้ขอพร แต่ละคนไม่มีท่าทียี่หระกับกลิ่นธูป ควันธูป ที่ส่งกลิ่นตลบอบอวลจนแสบตาแสบจมูก คละเคล้าไปกับกลิ่นหอมของดอกดาวเรืองที่ถูกร้อยเป็นพวงเหลืองอร่ามจากศรัทธา ของผู้มาสักการะ โดยมีการแสดงของนางรำ 4-5 คน ที่ถูกจ้างมาแก้บนจากผู้สมหวังเป็นระยะๆ

    สำหรับโรงแรมเอราวัณแห่งนี้ ชลอรู้ประวัติคร่าวๆ ถูกสร้างในสมัยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ เมื่อปีพุทธศักราช 2494 ครั้งมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    พลตำรวจเอกเผ่า มีกำหนดให้ก่อสร้างโรงแรมแห่งนี้ขึ้น เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี ตั้งแต่พุทธศักราช 2494  แล้วเสร็จเมื่อปีพุทธศักราช2499
    แต่ระหว่างการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมายหลายครั้ง

    อีกทั้ง บริษัทสหโรงแรมไทย และการท่องเที่ยว ในฐานะผู้บริหารโรงแรม ได้รับการท้วงติงจากผู้หลักผู้ใหญ่บางคน ถึงอุบัติเหตุหลายอย่างที่เกิดขึ้นตลอดระยะการก่อสร้าง เพราะไม่มีการบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขณะสร้าง ประกอบกับชื่อโรงแรมมีชื่อว่า เอราวัณ เป็นชื่อช้างทรงของพระอินทร์  จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม

    วิธีแก้ไขจากผู้รู้ให้คำแนะนำมา คือ ต้องขอพรจากพระพรหม เพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป อีกทั้งต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันที

    หลังจากก่อสร้างโรงแรมเสร็จ  ทุกฝ่ายเห็นด้วย และปฏิบัติตาม โดยมีการตั้งศาล และอัญเชิญพระพรหม ที่ออกแบบ และปั้นโดยช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร มาประดิษฐานในวันที่ 9 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2499

    วันเดียวกับที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงแรมแห่งนี้
    ด้วยเงินงบประมาณ 75 ล้านบาท ความสูง 4 ชั้น  ห้องพักอีก 250 ห้อง โรงแรมเอราวัณกลายเป็นโรงแรมที่ทันสมัยที่สุด

    ท่ามกลางประชาชนทั้งไทยและต่างประเทศ ต่างแห่แหนมากราบไหว้ขอพรจากพระพรหมที่ศาลหน้าโรงแรม เพราะเชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท้าวมหาพรหม จะช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชค และความสำเร็จมาให้

    ที่สำคัญ รูปแบบการสร้างศาลท่านท้าวมหาพรหมของโรงแรมเอราวัณแห่งนี้ ผู้คนที่เคารพศรัทธา ยังนำไปใช้เป็นแบบในการก่อสร้างเพื่อสักการะบูชา ตามสถานที่ต่างๆในเวลาต่อมาด้วย
    ————————————————
    หลังหยุดไหว้ขอพรในใจจากศาลท้าวมหาพรหมที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงแรม พันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ เดินมาถึงห้องอาหารจีน ชั้น 2 โดยมีร้อยตำรวจเอกเจตนากร นภีตะภัฎ เดินตามมาติดๆ

    เมื่อเดินเข้าไป  พนักงานต้อนรับหญิงในชุดสูทสากลเดินเข้ามาสอบถามเตรียมบริการ แต่ชลอ ขอตัว และปฏิเสธอย่างสุภาพว่ามีพวกมานั่งทานก่อนแล้ว เนื่องจากมองเห็นชายฉกรรจ์ในชุดซาฟารี  2 คน นั่งอยู่ที่โต๊ะริมผนังใกล้ห้องอาหารที่ถูกจัดทำไว้เป็นห้องส่วนตัว

    เขาจำได้ดีว่าชายหนุ่มทั้งคู่เป็นนายตำรวจติดตาม พลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม ผู้นัดหมายให้มาพบที่ห้องอาหารจีนในโรงแรมเอราวัณแห่งนี้ เพื่อพบกับบุคคล สำคัญในคดีสังหารนายศรายุทธ ชะนะกุล ส.ส.ชัยนาท และภรรยานายทหารยศร้อยเอก

    ขณะที่ตำรวจหนุ่มทั้ง 2 นาย เห็นรองผู้บังคับการกองปราบปราม เดินเข้ามา ทั้งคู่จึงลุกเดินเข้าไปยกมือไหว้แสดงความเคารพ พร้อมแจ้งให้ทราบว่า รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม นั่งอยู่ในห้องอาหาร โดย 1 ในตำรวจนอกเครื่องแบบที่ทำความเคารพชลอ เดินเข้าไปในห้องอาหารที่ว่า เพื่อแจ้งกับนายตำรวจระดับบริหารของกรมตำรวจว่า บุคคลที่สั่งให้มาพบเดินทางมาถึงแล้ว

    ทั้งนี้ ชลออ่านใจผู้บังคับบัญชาที่นัดหมายให้มาพบที่นี่ คงเป็นเพราะไม่ต้องการให้กลุ่มนักข่าวล่วงรู้ภารกิจสำคัญ เพราะในกรมตำรวจขณะนี้ เต็มไปด้วยสื่อมวลชนจากหลายสำนักที่มาคอยคุ้ยแคะแกะเกาติดตามความคืบหน้าใน คดีฆ่า ส.ส.กำธร ลาชโรจน์ ส.ส.ปัตตานี ที่คลี่คลายลงถึงขนาดจับกุมคนร้ายได้แล้ว แต่ยังไม่มีการแถลงเป็นทางการ

    อึดใจต่อมา นายตำรวจติดตามผู้นี้เดินออกมาพร้อมแจ้งให้ชลอเข้าไปในห้องเพียงคนเดียว โดยให้ผู้กองคกถือกระเป๋านั่งรออยู่กับ 2 นายตำรวจติดตามอยู่ด้านนอก

    ชลอก้าวเท้าเข้าไปในห้องอาหารที่แยกไว้เป็นห้องส่วนตัว กว้างขวางพอสมควร นั่งได้ประมาณเกือบ 10 คน

    แต่มีชายเพียง 2 คน นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารทรงกลมหมุนได้แบบโต๊ะจีนที่มีอาหารว่างทานเล่นของจีน ที่ใช้วิธีปรุงด้วยการนึ่ง 7-8 ชนิดวางอยู่ อาหารชนิดนี้เรียกรวมๆกันว่า ติ่มซำ โดย 1 ในชายที่นั่งอยู่ในชุดซาฟารี หวีผมแสกข้างเรียบแปล้ คือ พลตำรวจโทณรงค์ผู้บังคับบัญชาเขา ที่เอ่ยปากทักก่อนที่ชลอจะทันยกมือไหว้แสดงความเคารพ

    “เอ้า….ชลอ เข้ามาสิ”

    เสียงนายตำรวจ คนเมืองเพชรบุรี ที่แคนดิเดตเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ต่อจากพลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ อธิบดีกรมตำรวจที่จะเกษียณอายุราชการในปีหน้ากล่าวเชื้อเชิญ พร้อมแนะนำชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

    ชลอจำได้ทันที ชายคนนี้คือเกรียงศักดิ์ สุขสว่าง  ส.ส.พรรคชาติไทย จ.ชัยนาท แต่เขาไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน

    “นั่งลงเลย ชลอ นี่คุณเกรียงศักดิ์  ส.ส.ชัยนาท พรรคชาติไทย…”

    รองอธิบดีกรมตำรวจ แนะนำบุรุษที่นั่งอยู่ก่อนหน้า พร้อมแนะนำชลอให้อีกฝ่ายรู้จัก

    “ที่ผมเรียกคุณมา เพราะคุณเกรียงศักดิ์ เขามาร้องขอกำลังตำรวจคุ้มครองความปลอดภัย เพราะก่อนหน้าการเสียชีวิตของคุณศรายุทธ และภรรยา เขาได้รับการเตือนว่า กำลังมีผู้ปองร้าย สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องการเมือง ที่จังหวัดชัยนาท มีผู้แทนได้ 2 คนเท่านั้น”

    แค่ประโยคแรก ชลอคิดถึงคำพูดของไอ้น้อย บ้านไร่ มือปืนเพื่อนไอ้หรั่ง -แพท บูล มือปืนรับจ้างที่เขาไปเอาตัวมาจากชายแดนอุทัยธานีและสุพรรณบุรี เมื่อเกือบ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีคนมาว่าจ้างให้มันไปยิง ส.ส.คนไหนของชัยนาท คนไหนก็ได้

    มันบอกว่าจำได้คนเดียว คือ ส.ส.ศรายุทธ คนตาย

    วาบความคิดของชลอจากคำพูดของรองอธิบดีฯณรงค์ ยังเก็บไว้ในสมอง ชลอยังไม่บอกผู้บังคับบัญชาว่า เขาไปเจอใคร หรือทำอะไรมาบ้าง   จริงๆแล้ว ชลอมีแพลนที่จะเข้าไปพูดคุยกับ ส.ส.เกรียงศักดิ์อยู่แล้ว

    “คุณเกรียงศักดิ์ บอกว่าการเสียชีวิตของ ส.ส.ชัยนาทคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนายศรายุทธ หรือเขา จะมีผู้สมหวังทางการเมืองในชัยนาททันที

    เพราะจะมีการเลือกตั้งซ่อมขึ้นมาใหม่  หากเป็นประเด็นนี้ เราก็มีผู้ต้องสงสัยแล้ว เป็นส.ส.สอบตกคนหนึ่ง”

    พลตำรวจโทณรงค์กล่าวพร้อมกับหยิบแก้วชาร้อนขึ้นมาจิบ

    “อนันต์ สุขสันต์”

    ชลอพูดขึ้นเบาๆ เพราะรู้ว่าเมื่อปีพุทธศักราช 2522 นายศรายุทธ คนตาย ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ชัยนาทคนที่ 2  ชนะ จ่าสิบเอกอนันต์ สุขสันต์ อดีต ส.ส.ชัยนาทอย่างหวุดหวิด

    ด้วยความที่ ส.ส.ชัยนาท มีได้แค่ 2 คน นายศรายุทธ  ได้วางแผนรณรงค์การหาเสียงในสมัยหน้าคือปีหน้า พุทธศักราช 2525 แต่ถ้าหากเกรียงศักดิ์ หรือ ศรายุทธ 2 คนนี้มีใครคนใดคนหนึ่งมีอันเป็นไป เป็นที่แน่นอนว่า จ่าสิบเอกอนันต์ สุขสันต์ จะกลับมาผงาดเป็น ส.ส.อีกครั้ง

    “เดี๋ยวคุณคุยกับคุณเกรียงศักดิ์ต่อนะ ผมต้องขอตัวกลับไปที่กรมตำรวจก่อน ดูรายละเอียดคดีส.ส.กำธรที่จะแถลงในวันพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องที่คุณเกรียงศักดิ์มาขอตำรวจคุ้มกัน คุณพิจารณาส่งกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบไปดูแลตามความสมควร

    มีความคืบหน้ารายงานผมโดยตรง ส่วนเรื่องการสอบปากคำคุณเกรียงศักดิ์ ผมจะให้ณรงค์วิช (พันตำรวจเอกณรงค์วิช ไทยทอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม)เป็นคนรับเรื่อง”

    “ครับท่าน….”

    ชลอกล่าวตอบพร้อมยกมือไหว้ทำความเคารพ นายตำรวจที่คอยดูแลและให้การสนับสนุนเขามาตลอดตั้งแต่สมัยที่เขากำลังรบกับ ไบคานอยู่ที่จังหวัดลพบุรี

    “แหม..ได้ยินชื่อเสียงท่านชลอมานาน ชื่นชมจริงๆ ได้เจอตัวจริงแล้วก็ให้สบายใจ…”

    ส.ส.ชัยนาทที่เหลืออยู่คนเดียวหยอดคำหวานหู ตามประสานักการเมือง ขณะที่ชลอกล่าวขอบคุณ และซักต่อถึงเรื่องที่เดินทางมาร้องทุกข์ให้พลตำรวจโทณรงค์ว่า ถูกลอบปองร้าย

    “ครับ…จริงๆรู้มานานแล้ว รู้ตั้งแต่เลือกตั้งครั้งล่าสุดใหม่ๆ ส.ส.ศรายุทธ ที่ได้รับการเลือกตั้งมาด้วยกัน เป็นคนแจ้งเรื่องนี้ให้ผมทราบ  ตัวคุณศรายุทธเองก็ทราบข่าว มีคนตามล่าสังหารเขาตลอด  

    ทั้งผม และเขากลับชัยนาททีไร ต้องมีพรรคพวกคอยอารักขา ทั้งสถานที่พัก และเส้นทางที่จำเป็นต้องเดินทาง แต่ศรายุทธกลับมาพลาด เพราะไม่คิดว่าจะถูกตามล่าถึงในกรุงเทพฯ

    รองผู้การหนุ่มนักบู๊นั่งฟังอย่างตั้งใจ แต่สมองเขาไปไกลกว่านั้นว่า เขาจะต้องทำอะไรต่อไป

    หลังจากแลกนามบัตร เบอร์โทรศัพท์ติดต่อแล้ว ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันกลับ
    จังหวะออกจากห้องอาหารแห่งนั้น ชลอถึงเห็นว่านายเกรียงศักดิ์ ส.ส.ชัยนาท ไม่ได้เดินทางมาเพียงคนเดียว แต่มีลิ่วล้อเป็นชายฉกรรจ์ลักษณะเหมือนคนในเครื่องแบบ 4-5 คน ลุกออกจากโต๊ะอาหารติดตามมาด้วย

    ส่วนชลอ พอถึงรถได้ เขาถามหาแฟ้มประวัติจ่าสิบเอกอนันต์จากผู้กองคก ที่เขาให้รวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดชัยนาท และใกล้เคียงไว้ก่อนหน้า

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments