ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอเกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
บ่ายแก่ๆอีก 2 วันต่อมา
ไอ้น้อย ต้นโพธิ์ เริ่มหงุดหงิด เพราะหลังก่อเหตุ ไอ้ตี๋เพื่อนรุ่นน้องที่ร่วมแก๊งด้วย บอกให้มันแยกมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเช่าหลังนี้
ส่วนไอ้ตี๋กับไอ้หมู ไปหลบอยู่ที่บ้านญาติ ย่านพระโขนง โดยมันทิ้งเบอร์โทรศัพท์บ้านญาติไว้ให้ติดต่อ
ใจมันนึกอยากจะเปลี่ยนที่หลบซ่อนไปที่อื่นบ้าง เพราะอยู่ที่นี่มาจะเกือบๆ1อาทิตย์แล้ว ซ้ำยังคิดไปเองว่าคนแถวนี้อาจจะสงสัย ไม่ไปทำงานอะไรบ้างหรือ วันๆไม่ไปไหน ได้แต่ออกไปซื้อข้าวซื้อปลา และกลับมาหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน
มันคิดพลางนั่งลูบคลำปืนโคลท์ตราม้าขนาด 11 มิลลิเมตรสีดำมะเมื่อมที่มันใช้ติดตัว และเพิ่งใช้ยิงตำรวจบนรถทัวร์ที่วิเศษไชยชาญตายหนึ่งเจ็บหนึ่งมาเมื่อปลายปีที่แล้ว
จับไปจับมา มันให้นึกถึงที่มาที่ไปของปืนคู่ใจกระบอกนี้ เมื่อดึกคืนหนึ่ง 3-4 ปีที่แล้ว มันย่องเข้าไปลักทรัพย์บ้านเหยื่อข้าราชการครูวัยเกษียณในอำเภอเมืองสิงห์บุรี แล้วฉวยปืนกระบอกนี้ติดมือมาพร้อมกับทรัพย์สินอื่นๆ
ถัดมาอีก 2-3 อาทิตย์ เหยื่อรายแรกก็มาสังเวย หลังมันไปเที่ยวงานวัดประจำปีที่อำเภอบางระจัน กับ ไอ้ตี๋ ไอ้หมู 2 เพื่อนรุ่นน้อง แล้วเกิดทะเลาะกับวัยรุ่นเจ้าถิ่น
ด้วยความเมาประกอบกับนิสัยมุทะลุ มันใช้ปืนกระบอกนี้ส่องเจ้าถิ่นวัยรุ่นล้มระเนนระนาด ก่อนหลบหนี และมารู้ทีหลังว่ามีฝ่ายตรงข้ามตายไปหนึ่ง เจ็บอีกหลายคน
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้มันหายตัวไปจากถิ่นที่อยู่ในตำบลต้นโพธิ์ไปพักใหญ่ จนอีกหลายเดือนต่อมาพอเรื่องเริ่มซา มันแอบกลับมาที่ต้นโพธิ์ กินเหล้ากับ 2 เพื่อนรุ่นน้อง เงินหมดเมื่อไหร่ก็ออกล่าหาเหยื่อปล้น โดยมีปืน 11 มิลลิเมตรกระบอกนี้เป็นอาวุธใช้ประกอบการทำชั่ว
ส่วนใหญ่จะออกไปก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง รวมไปถึงพื้นที่ในเขตพระนครศรีอยุธยา เงินทองที่ไ่ด้มาก็เอามาเที่ยวเตร่เฮฮาในจังหวัดสิงห์บุรี หมดเมื่อไหร่ก็ออกก่อเวรอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้
จนถึงคราวที่มันต้องหนีหัวซุกหัวซุนยิ่งกว่าครั้งไหน
เมื่อมันวางแผนปล้นรถทัวร์หาเงินเที่ยวปีใหม่ โดยมันและไอ้หมู ทำทีขึ้นรถมาจากสุพรรณบุรี มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ และนัดหมายให้ไอ้ตี๋ ที่ขับรถเก๋งมาจอดรออยู่ก่อนหน้าในพื้นที่เขตตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ ขับตามรถทัวร์ และส่งสัญญาณให้รีบลงมือปล้น
แต่มันไม่ง่ายเหมือนใจคิด เพราะช่วงท่ีไอ้หมู สมุนโจรรุ่นน้องเดินกวาดทรัพย์สินผู้โดยสารเรียงตัว ขณะที่ตัวมันยืนส่ายปืนไปมาอยู่ข้างหลัง คอยระแวดระวังคุ้มกันให้
จังหวะนั้นมันเห็นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ถัดไปทางหลังรถอีก 2-3 เบาะ ทำท่าเหมือนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเอว แว่บเดียวที่มันเห็น ชัดเจนว่าเป็นปืน พร้อมๆกับที่ชายคนนั้นขยับตัวลุกขึ้นชักปืนออกมาจากเอว
แต่ช้าไปกว่ามันที่จับจ้องอยู่ก่อนแล้ว
มันหันปากกระบอกปืนชี้ไปที่เป้าหมายใหญ่บริเวณลำตัวก่อนเหนี่ยวไก 2 นัดซ้อน
เสียงปืนดังสนั่นรถจนหูแทบดับ พร้อมกับกระสุนขนาด 11 มิลลิเมตร ที่ถูกรีดออกจากปากกระบอกแหวกอากาศพุ่งเข้าปะทะร่างเป้าหมายที่มันเชื่อว่าเป็นตำรวจกระเด็นไปนอนแน่นิ่งอยู่บนทางเดินกลางรถ
จากนั้นมันหันปากกระบอกปืนพร้อมเหนี่ยวไกอีก 1 นัด ไปที่ชายอีกคนที่นั่งคู่กัน และลุกขึ้นพรวดออกมา ส่งผลให้ชายคนดังกล่าวถึงกับทรุดลงไปนิ่งเงียบอยู่บนเบาะที่นั่งเหมือนเดิม
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้โดยสารจากเหตุการณ์สยองที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่ไอ้น้อยไม่ได้สะทกสะท้าน เดินไปหยิบปืนออโตเมติกที่ตกอยู่ข้างตัวชายที่มันส่งกระสุนเข้าใส่ไปคนแรก และชักปืนที่เอวของชายคนที่ถูกยิงคนที่สองมาเหน็บไว้ที่เอว ก่อนตะคอกออกคำสั่งให้คนขับรถทัวร์จอด เมื่อมันเห็นไอ้ตี๋ขับรถเก๋งตามมา
จากนั้นไอ้น้อยและไอ้หมูเพื่อนรุ่นน้อง รีบลงไปขึ้นรถที่ไอ้ตี๋เป็นคนขับ ทิ้งความโกลาหลบนรถทัวร์กรุงเทพ-สุพรรณบุรี ไว้ในความมืดเบื้องหลัง
คิดถึงตอนนี้ มันสไลด์ลำกล้องป้อนกระสุนเข้ารังเพลิงอย่างชำนาญ นกปืนถูกง้างขึ้นพร้อมยิง แต่มันใช้หัวแม่มือขวาดันเซฟขึ้น ถ้าจะใช้ยิงใคร มันแค่ดันเซฟปืนลง ก็สามารถเหนี่ยวไกได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาขึ้นลำอีก ก่อนที่จะเอาเหล็กดำทะเมื่อมกระบอกนี้ไว้ในย่ามคู่ใจของมันตามเดิม
“ออกไปหาเหล้าแดกดีกว่า…”
คิดเสร็จก็เดินออกจากบ้านไปร้านอาหารปากซอยเจ้าเดิม แต่ออกจากบ้านไปไม่กี่ก้าว มันถึงกับสะดุ้งสุดตัว เพราะมีรถตู้วิ่งมาจากข้างหลังแล้วจอดเทียบ จากนั้นมีชายฉกรรจ์ในรถ 2-3 คน ดึงตัวมันเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว โดยมันไม่ทันได้มีโอกาสหยิบโคลท์คู่ใจออกมาจากย่าม
ก่อนที่มันจะมองอะไรไม่เห็นเพราะถูกผ้าดำปิดตา มันคุ้นๆหน้า 1 ในชายฉกรรจ์บนรถว่า น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เคยเจอกันในร้านอาหารปากซอยเมื่อไม่กี่วันนี้
จากนั้นมันมีความรู้สึกเหมือนถูกของแข็งทิ่มเข้าที่ศีรษะอย่างแรง ตามด้วยเสียงเหี้ยมๆกรอกข้างๆหูถามถึง ไอ้ตี๋ และไอ้หมู ว่าอยู่ไหน…
แค่นี้มันรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร……..
——————————————————————————————
อีก 2-3 วันต่อมา ชลอเดินออกจากห้องทำงานที่กองปราบปราม สามยอด เขาก้าวฉับๆดิ่งตรงเข้าไปที่ห้องของพันตำรวจเอกสล้าง บุนนาค รองผู้บังคับการกองปราบปราม นายตำรวจรุ่นพี่คนดัง
นายตำรวจนักบู๊รุ่นน้อง ถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป โดยบรรดาตำรวจหน้าห้องของรองผู้บังคับการกองปราบฉายา สิงห์ใต้ เห็นชลอ นายตำรวจคู่อาฆาตแก๊งมาเฟียไบคานเดินเข้ามา ต่างพาลุกกันพรึ่บพรั่บแสดงความเคารพ
ขณะที่ชลอเดินก้าวผ่านเข้าไปเปิดประตูห้องทำงานอีกห้อง พร้อมยกมือไหว้นายตำรวจรุ่นพี่ ที่กำลังนั่งเซ็นงานเอกสารอยู่ที่โต๊ะ
“พี่ครับ….ผมขอยืมบุรี ลูกน้องพี่ไปทำงานหน่อยนะ…..”
ชลอเอ่ยปากขอยืมตัวนายตำรวจลูกน้องพันตำรวจเอกสล้าง นักกีฬายิงปืนทีมตำรวจ ที่ติดสอยห้อยตามพันตำรวจเอกสล้าง ตั้งแต่เมื่อครั้งพันตำรวจเอกสล้างยังเป็นร้อยตำรวจตรี ตำแหน่งผู้บังคับหมวดตำรวจชายแดน 521 บ้านหัวนา ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
สำหรับ บุรี อยู่ใย สมัยยังเป็นตำรวจชายแดนอยู่ค่ายบ้านหัวนา มีโอกาสแสดงการต่อสู้ด้วยมีดสั้นคู่กับสิบตำรวจโทสันทัด สว่างศรี ถวาย สมเด็จย่า-สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงทอดพระเนตร
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมฐานตำรวจตระเวนชายแดน ของร้อยตำรวจตรีสล้าง ที่ทำหน้าที่เป็นนายตำรวจอารักขา จากการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช 2505 พื้นที่รับผิดชอบของกองกำกับการตำรวจชายแดนเขต 5 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
“เออ.เดี๋ยวสักครู่พี่ให้ลูกน้องตามบุรีไปพบนะ….”
“ครับพี่…ขอบคุณครับ….”
ชลอเอ่ยปากขอบคุณ โดยที่นายตำรวจรุ่นพี่ไม่เอ่ยปากถามแม้แต่คำเดียวว่าจะเอาลูกน้องนักยิงปืนของกรมตำรวจคนนี้ไปทำอะไร
จากนั้น 2 นายตำรวจมือปราบแห่งยุค นั่งเสวนาคุยกันอยู่ชั่วครู่นายตำรวจอาคันตุกะที่อาวุโสน้อยกว่าก็ขอตัวออกไปทำภารกิจ
ขณะเดียวกัน ที่เซฟเฮ้าสน์ ลาดพร้าวซอย 15 ของชลอ ถึงภายนอกจะดูเงียบ แต่ข้างในบ้านกับมีความเคลื่อนไหว และมีคนเข้าออกอยู่ตลอด
————————————————————————————–
เกือบเที่ยงคืนวันที่ 18 มกราคม พุทธศักราช 2525
ที่ลานจอดรถพิมานทัวร์ สำนักงานใหญ่ ถนนราชดำริ ในศูนย์การค้าราชประสงค์
ถึงแม้จะเป็นช่วงดึก แต่ยังมีคนพลุกพล่านพอสมควร เพราะสถานที่แห่งนี้ นอกจากจะเป็นสถานีขนส่งสายภาคตะวันออก วิ่งไปตามเส้นถนนสุขุมวิท สุดทางที่จังหวัดตราดแล้ว ยังอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลตำรวจ ห่างกันแค่ถนนกั้น
ปังๆๆๆ ปังงงงงงงงงงงงๆๆๆๆ
เสียงดังสนั่นของปืนหลายชนิดดังขึ้นหลายนัดแหวกความเงียบขึ้นมา ท่ามกลางความโกลาหลของผู้คนที่กำลังจะเดินทางและคนที่มายืนรอรับส่งญาติ พากันก้มตัวหลบหาที่กำบังกระสุนในอากัปกิริยาต่างกัน
ภาพที่แต่ละคนเห็น มีชายฉกรรจ์หลายคนวิ่งถือปืน ไล่ยิงกันไปตามลานจอดรถทัวร์ ซึ่งมีพื้นที่ติดกับกองการเงิน กรมตำรวจ
สักครู่ใหญ่ เสียงปืนเงียบลง กลุ่มผู้โดยสารหลายคนโดยเฉพาะบรรดาเด็กรถที่ดูจะใจกล้ากว่าใคร ค่อยๆพากันเดินตามกลุ่มชายฉกรรจ์ ที่บางส่วนมีสัญลักษณ์ตำรวจกองปราบปรามติดอยู่บนเสื้อแจ๊กเก็ต
“เฮ้ย….ตำรวจไล่จับโจร ยิงตายเกลื่อนเลย 3 ศพ เขาว่าเป็นพวกโจรปล้นรถทัวร์ว่ะ…..”
เสียงเด็กรถบริษัทพิมานทัวร์พูดกับเพื่อนเด็กรถด้วยกัน เพราะอยากรู้อยากเห็นในเหตุการณ์ตื่นเต้นเมื่อสักครู่ ขณะที่ตำรวจกองปราบปรามในเครื่องแบบ และบรรดานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะเจ้าของท้องที่เริ่มทยอยเข้ามามากขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มนักข่าวช่างภาพที่ทราบเหตุวิสามัญฆาตกรรมครั้งนี้ด้วย
“อูยย น่ากลัวว่ะ …นี่มันจะมาปล้นรถทัวร์คันไหนเนี่ย ….”
เด็กรถอีกคนหนึ่งพูดเสริม หลังไปเลียบๆเคียงๆถามตำรวจในเครื่องแบบนายหนึ่งว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ขณะเดียวกันพันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ ในชุดซาฟารีสีน้ำเงิน สวมหมวกแก๊ปนักสืบทรง Hunting cap เดินหนีบกระเป๋าขนาดเล็กก้าวฉับๆเข้ามาบริเวณลานจอดรถทัวร์ พร้อมพันตำรวจเอกณรงค์วิช ไทยทอง ผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ร้อยตำรวจโทบุรี อยู่ใย ลูกน้องพันตำรวจเอกสล้าง นักกีฬายิงปืน กรมตำรวจ
นอกจากนี้ ยังมีตำรวจจากจังหวัดอ่างทอง นำโดยพันตำรวจโทเฉลิมชาติ สิตานนท์ รองผู้กำกับการตำรวจภูธรจัหวัดอ่างทอง พันตำรวจโทมนัส สังข์พนัส สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอวิเศษไชยชาญ เดินตามเข้ามาติดๆ
บริเวณลานจอดรถริมถนนพระราม 1 ถึงแม้จะมืด แต่ยังพอมีแสงสว่างให้เห็นร่างไร้วิญญาณของชาย 3 คน นอนตายอยู่กับพื้นไม่ห่างกัน
ชลอ เดินเข้าไปดูศพแรก ลักษณะเป็นชายหน้าเสี้ยม รูปร่างผอมสูง พร้อมกับเอ่ยปากขอดูรูปภาพและหมายจับจากพันตำรวจโทเฉลิมชาติ สิตานนท์ รองหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง เจ้าของพื้นที่เหตุโจรปล้นรถทัวร์ และยิงตำรวจกองปราบปราม เสียชีวิต และบาดเจ็บ ที่อำเภอวิเศษไชยชาญ เมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะที่กลุ่มผู้สื่อข่าวพยายามกระแซะเข้ามาใกล้
“เออ…ใช่มันแหละ ไอ้น้อย ตัวปล้นรถทัวร์ ตัวยิงตำรวจกองปราบ…..”
ชลอพูดเสียงเข้ม ขณะที่จ่าอ๋อย และจ่าตั๋น 2 ลูกน้องคนสนิท ช่วยกันพลิกศพยกหน้ามาเทียบกับภาพตามหมายจับ เผยให้เห็นบาดแผลที่แสกหน้า 1 แห่ง ส่วนที่มือขวา ถือปืนโคลท์11 มิลลิเมตรไว้แน่น พร้อมๆกับแสงวาบของแฟลชและเสียงลั่นชัตเตอร์จากช่างภาพหลายสำนัก
รองผู้บังคับการกองปราบปราม พูดกับรองหัวหน้าตำรวจจังหวัดอ่างทอง พอให้นักข่าวได้ยิน
“บุรินทร์ ยิงแม่นจริงๆ สมราคานักยิงปืนกรมตำรวจ..”
จากนั้นชลอเดินไปดูศพที่สอง โดยมีคณะนายตำรวจจาก 2 สังกัด รวมไปทั้งกลุ่มผู้สื่อข่าวช่างภาพและบรรดาไทยมุงเดินตามมาติดๆ
“นี่ไอ้หมู ครับ คนที่ทำหน้าที่เก็บกวาดทรัพย์สินผู้เสียหายบนรถ ส่วนปืนที่มันใช้ น่าจะเป็นของจ่าสิบตำรวจมนัส ตำรวจกองปราบที่ถูกยิงเสียชีวิตครับ….”
คราวนี้เป็นผู้กองคก-ร้อยตำรวจเอกเจตนากร รายงานชื่อคนตายที่มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ท้ายทอย มันสมองไหลปนเลือด
“ส่วนศพนี้ เป็นศพนายตี๋ ลูกน้องไอ้น้อย ที่ทำหน้าที่ขับรถมารับ พาไอ้น้อยและไอ้หมูหลบหนีครับ ส่วนปืนที่มันใช้คาดว่าน่าจะเป็นปืนของสิบตำรวจเอกขรรค์ขัย คนเจ็บที่ถูกปล้นเอาไปด้วย….”
ผู้กองคกรายงานต่อ ขณะที่ชลอและนายตำรวจคนอื่นมองดูศพที่ถูกยิงเข้าที่ใบหน้า และลำตัว 3 นัด โดยมีปืนลูกโม่ขนาด.38 ตกอยู่ข้างๆตัวอีก 1 กระบอก
ไม่นานพลตำรวจเอก สุรพล จุลละพราหมณ์ อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ โดยพันตำรวจเอกชลอ พันตำรวจเอกณรงค์วิช และพันตำรวจโทเฉลิมชาติ เข้าไปรายงานเหตุวิสามัญฆาตกรรมครั้งนี้
“คือเราสืบทราบว่า ผู้ตายทั้ง 3 คนเป็นผู้ต้องหาที่ก่อเหตุปล้นรถทัวร์ และยิงตำรวจกองปราบปรามเสียชีวิต 1 ศพและบาดเจ็บอีก 1 นาย มันเตรียมจะขึ้นรถทัวร์ไปกบดานในเขตจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออก ผมเลยนำกำลังมาซุ่มสังเกตการณ์อยู่หลายวัน
จนวันนี้ เห็นผู้ตายทั้ง 3 คน มีตำหนิรูปพรรณคล้ายกับผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจอ่างทองออกหมายจับ เราเลยขอเข้าตรวจค้น เกิดการยิงต่อสู้ ผู้ต้องหาตายหมด 3 คนส่วนตำรวจปลอดภัยครับ…”
ชลอรายงาน2ผู้บริหารกรมตำรวจ อย่างง่ายๆ สั้นๆและได้ใจความ
ขณะที่มีเสียงแจ๋วๆจากพนักงานขายตั๋วหญิงคนหนึ่ง พูดออกมาจากกลุ่มไทยมุงพอให้ได้ยินว่า
“ใช่มันด้วยแหละ เมื่อวานเพิ่งมาซื้อตั๋วรถไปจันทบุรีคืนนี้ ฉันจำเสื้อได้….”
พร้อมๆกับที่ตำรวจตรวจสอบภายในตัวของ 1 ในโจรร้ายที่พลาดท่าถูกยิงตายทีเดียว 3 ศพ นอกจากจะพบแมกกาซีนและลูกกระสุนปืนแล้ว ยังมีตั๋วรถทัวร์ไปเมืองจันทบุรีตรงตามที่พนักงานขายตั๋วหญิงคนนี้พูดอีก
แต่พลตำรวจโทณรงค์ กลับกระซิบข้างหูชลอพอได้ยินกันสองคนว่า
“คุณนี่ร้ายจริงๆ เอามันใกล้กรมตำรวจนี่เลยนะ…”
“ครับ….ยิงตำรวจ โทษมันก็ต้องแบบนี้ล่ะครับ….”
ชลอยิ้มตอบคู่สนทนา ว่าที่พิทักษ์ 1 เบาๆ