Tuesday, December 3, 2024
More
    Homeตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ80.ได้ตัว “จ๋อง ตาเดียว”

    80.ได้ตัว “จ๋อง ตาเดียว”

     

    ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอเกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์

                           
    รถของนายตำรวจกองปราบฯทั้ง 2 คัน มีรถเบนซ์ของชลอนำหน้า วิ่งตามกันมาในลักษณะไม่ช้าไม่เร็ว อันมาจากเส้นทางบางช่วงเป็นภูเขาโค้งซ้ายขวาสลับไปมา  จนกระทั่งวิ่งลงถึงทางราบ ผ่านอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ไปเล็กน้อย เสียงสัญญาณโทรศัพท์สนามเคลื่อนที่อันใหญ่ของชลอก็ดังขึ้น
                          
     “ฮัลโหล….”

    นายตำรวจหนุ่มเจ้าของเครื่องยกหูโทรศัพท์กรอกเสียงต้อนรับ
                           
    “ไอ้ลอ…..กูแป๋ง กูมีข่าวดีมาบอกมึง….”เสียงปลายทางตอบกลับน้ำเสียงสดใส
                           
    “ทำไม มึงเจอไอ้จ๋องแล้วเหรอ…..”

    ชลอย้อนถาม
                           
    “เออ…ใช่ มันจะมาหากูที่กรุงเทพฯพรุ่งนี้ กูเลยบอกให้มันรออยู่ที่แหลมทอง บอกว่ามึงมีธุระจะคุยด้วย…….”
                          
     “เยี่ยมมาก ให้มันได้อย่างนี้ แต่เอ….มึงไปบอกมันว่ากูจะไปคุยด้วย แล้วอย่างนี้มันจะอยู่รอคุยกับกูหรือวะ ….”

    นายตำรวจหนุ่มตอบคู่สนทนาด้วยความดีใจ ก่อนถามกลับด้วยความระคนสงสัย
                           
    “มาสิ…ลองมันรับปากกูแล้ว มันไม่เคยผิดนัด…..”

    เจ้าพ่อเมืองเพชรฯการันตี
                           
    “ โอเค…..งั้นพรุ่งนี้เจอกัน  สิบเอ็ดโมง อย่างช้าไม่เกินเที่ยง อย่าให้กูฟาวล์ล่ะไอ้แป๋ง….”
                          
     “ รีบๆมาเลยเพราะกูลองถามมันว่า รู้เรื่องยิงไอ้เสี่ยอะไรของมึงที่เชียงใหม่มั้ย มันบอกว่าพอรู้บ้าง…..”

    นักการเมืองเพชรบุรีให้ข่าว
                           
    “ โอเค…ตกลงตามนั้น แค่นี้ก่อนเพื่อน สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยมี ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ ขอบใจมากโว้ย…..”
                           
    ชลอกล่าวขอบคุณคู่สนทนา ก่อนวางหูโทรศัพท์ลงพร้อมยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ
                          
     สำหรับ แหลมทอง สถานที่นัดหมายที่เจ้าพ่อเมืองเพชรรับปากจะนำ  จ๋อง ตาเดียว ผู้ต้องสงสัยรู้เห็นคดียิงเสี่ยร้อยล้านเมืองเชียงใหม่ มาให้ชลอซักถามพูดคุยในวันพรุ่งนี้ เป็นโรงแรมตั้งอยู่ย่านนางเลิ้ง ใกล้ๆสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ห่างเพียงแค่ไม่กี่ก้าว
                           
    ลักษณะเป็นโรงแรม 2 ชั้น  รูปตัวแอล มีห้องพักติดแอร์คอนดิชั่นอย่างดีประมาณ 20 ห้อง  ส่วนด้านหลังเป็นม่านรูดมีจำนวนห้องพอๆกัน
                           
    ผู้ใช้บริการโรงแรมแห่งนี้ ก็ไม่ธรรมดา ส่วนใหญ่ขาประจำจะเป็นบรรดานักการเมืองระดับรัฐมนตรีจากหลายพรรคทั่วประเทศ
    อาทิ อำนวย ยศสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากพรรคมัชณิมาธิปไตย เชียงใหม่ บุญส่ง สมใจ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคสยามประชาธิปไตย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อุดมศักดิ์ ทั่งทอง ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคสยามประชาธิปไตย

    รวมไปถึงปิยะ อังกินันท์ ส.ส.เพชรบุรี ผู้กว้างขวาง
                           
    ด้วยความที่มีนักการเมืองจากทั่วประเทศมาใช้บริการ ใช้เป็นที่พักระหว่างเข้าสมัยประชุมสภา โรงแรมแหลมทองแห่งนี้จึงกลายเป็นที่พักของบรรดานักธุรกิจต่างๆ รวมทั้งผู้มีบารมีผู้มีอิทธิพลจากทั่วประเทศมาเข้าพักอีกด้วย
                          
    ส่วนสาเหตุที่บรรดาท่านผู้ทรงเกียรตินักการเมืองในสภาต่างนิยมใช้บริการ เพราะนอกจากห้องหับจะสะดวกสบายพอสมควรแล้ว

    โรงแรมแห่งนี้ยังอยู่ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย จึงมักเป็นที่นิยมในการนัดหมายพบปะพูดคุยกินข้าวกินกาแฟกันของเหล่านักการเมือง อีกทั้งมีห้องให้บรรดาผู้ติดตามพักอยู่ด้วยกัน คือในโซนที่เป็นม่านรูดด้านหลัง
                          
     แล้วบรรดาผู้ติดตามเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นลิ่วล้อ มือปืนคุ้มกัน บางคนมีประวัติมีคดีติดตัวเป็นหางว่าว แต่ก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรตำรวจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้โรงพักนางเลิ้งเพียงแค่คืบ
                           
    อันมาจากบารมีใหญ่โตของนักการเมืองที่ว่าเหล่านี้คุ้มกะลาหัวอยู่
                           
    แต่ที่ไหนมีปลาชุม ก็มักจะมีคนลอบมาตกเบ็ดตกปลากันอยู่เรื่อย โดยเฉพาะกับบรรดาตำรวจนักสืบอย่างชลอ ไม่ว่าจะมาจากกองปราบฯด้วยกันเอง หรือนักสืบจากกองสืบสวนเหนือ สืบสวนใต้ และสืบสวนธนฯ มักจะมาแอบแวะเวียนโฉบเฉี่ยวเอาปลาไปกิน เวลาเจ้าของเผลออยู่เสมอ
                          
     ที่น่าแปลก เจ้าของปลาไม่ยักจะรู้ตัว หรือเอะใจว่าปลาในบ่อของตัวเองหายไปไหน!!!
                           
    นายตำรวจหนุ่มพวกเยอะละจากความคิดเรื่องโรงแรมแหลมทอง เหลือบมองทิวทัศน์ข้างทาง ด้วยความที่ขึ้นล่องเส้นทางนี้บ่อย ถึงตรงนี้แล้วระยะทางเหลือแค่อีกไม่ถึง 200 กิโลเมตร หรือประมาณ 2 ชั่วโมง จะถึงฟาร์มเกิดเทศ หรือที่คนทั่วไปเรียกกัน คุ้มพระลอ  โดยเจ้าของฟาร์มที่นั่งอยู่เบาะหลังบอกสารถี จ่าตั๋น-จ่าสิบตำรวจทนงศักดิ์ คนขับ              
                           
    “แวะเข้าฟาร์มที่ตากก่อนนะไอ้ตั๋น เข้าห้องน้ำห้องท่า กินกาแฟก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนกับไอ้ยะ ที่นั่นถ้ามึงเมื่อย วิทยุบอกรถไอ้คก ให้มันรู้ด้วย……”
                           
     “ครับนาย….”

    จ่าตั๋น และจ่ายะ -จ่าสิบตำรวจวิริยะ คุ้มรัตน์ นั่งอยู่ที่เบาะข้างซ้ายทำหน้าที่คุ้มกันและคนขับมือสอง ตอบเกือบจะพร้อมๆกัน
                         
     เกือบจะเข้าเขตอำเภอบ้านตากจังหวัดตาก เป็นพื้นที่ราบ เสียงโทรศัพท์สนามของชลอดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าของโทรศัพท์ทันสมัยละสายตาจากทิวทัศน์ข้างทาง ยกหูโทรศัพท์รับสาย เจ้าตัวคิดว่าคงเป็นเพื่อนนักการเมืองเพชรบุรีคนเดิม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงปลายสายชิงพูดมาก่อน
                           
    “พี่ลอ….ท่านรองณรงค์ จะคุยด้วยครับ….”
                           
    ถึงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่น้ำเสียงคลับคล้ายคลับคลา ซ้ำยังบอกชื่อบุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชาต้องการจะคุยด้วย ทำให้ประสาทนายตำรวจหนุ่มกองปราบฯตื่นตัวขึ้นทันที
                           
    “ชลอ…เป็นไงบ้าง คดีเสี่ยปุ้ยที่เชียงใหม่ คืบหน้ามากน้อยแค่ไหน พวกนักข่าวจี้ถามผมเกือบจะทุกชั่วโมง อีกอย่างผมขี้เกียจรอรายงานจากพวกท้องที่ มันช้า…..”
                           
    เสียงทุ้มมีพลังของพลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายป้องกันและปราบปรามเริ่ม
                          
     “ครับ…นาย มีคืบหน้าพอสมควรครับ ผมว่าจะรายงานนายทราบในช่วงเย็นวันพรุ่งนี้ แต่ยังรอพิสูจน์ทราบบางเรื่องเพื่อความแน่ใจก่อนครับ…..”

    นายตำรวจกองปราบฯหัวหน้าชุดคลี่คลายคดีเสี่ยปุ้ยเริ่มรายงาน
                           
    “ เบื้องต้นกลุ่มมือปืน และพวกต้องสงสัย มีอยู่ครับ จากแผนประทุษกรรมและคำบอกเล่าจากพยาน พวกต้องสงสัยตอนนี้ น่าจะเป็นพวกมือปืนโซนเมืองเพชร โซนนครปฐม

    แต่น่าจะมีคนในพื้นที่ร่วมด้วย เพราะลักษณะการก่อเหตุ มีรถเก๋งคุ้มกันด้วย”
                             
    หัวหน้าชุดคลี่คลายคดีสังหารเสี่ยปุ้ยเว้นระยะนิดนึ่งก่อนรายงานต่อ
                           
    “มีตำรวจท้องที่เขาสเกตช์ภาพคนร้าย เห็นเขาว่ากันคล้ายไอ้เพชร โสธร มือปืนซุ้มท่าตำหนัก นครปฐม  ที่เคยร่วมกับไอ้โพธิ์ ยิง เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร เจ้าพ่อหนังไทยตายเมื่อต้นปีนี้ด้วยครับ….”
                          
     ชลอรายงานผ่านเทคโนโลยี่นำสมัยราคาแพงระยับ
                           
    “อืมม….ไอ้เพชร โสธร สุวรรณศรี ผมจำได้ ไม่รู้ตอนนี้มันหลบไปอยู่ที่ไหน….”
                           
    คู่สนทนายศนายพลตำรวจโทเงียบไปอึดใจขณะที่รองผู้บังคับการตำรวจกองปราบปรามรายงานในลักษณะให้ความเห็น
                          
     “แต่ตรงนี้ข้อมูลยังไม่ชัดเจนนะครับ เป็นแค่สมมติฐานเบื้องต้น และก็เป็นภาพสเกตช์ ขอผมพิสูจน์ทราบอีกนิดหนึ่งครับ….”
                           
    “ดูแล้ว คุณคิดว่า ไอ้เสี่ยปุ้ยคนตายนี่มันจะถูกยิงจากเรื่องอะไร….”

    นายพลตำรวจโทเจ้าของรหัสพิทักษ์ 2 ถามต่อ
                          
     “ตามความคิดผมนะครับ เรื่องชู้สาวไม่น่าจะใช่ เพราะถึงแม้เสี่ยปุ้ยคนตายจะชอบเจ๊าะแจ๊ะนักร้องเจ๊าะแจ๊ะหมอนวด แต่มันก็ไม่มีบ้านสองบ้านสาม ตัวเมียคนตายก็ไม่สงสัยอะไรใคร และเจ้าตัวก็ไม่มีอะไรพิรุธ สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องส่วนตัวปนกับเรื่องธุรกิจของเขา  

    คนตายทำธุรกิจหลายอย่างอาจจะมีเรื่องการพนันด้วย เพราะโรงแรมฟ้าธานีที่เสี่ยปุ้ยสร้าง ข้างบนก็ทำบ่อนการพนันไว้ใหญ่โต  แถมพวกที่มาเล่นก็เป็นพวกนักเล่นดังๆจากกรุงเทพฯก็มีขึ้นมา

    ขอเวลาผมอีกนิดครับนาย ….”
                          
     นายตำรวจหนุ่ม 1 ในขุนพลข้างกายรองอธิบดีกรมตำรวจให้ความเห็น แต่เขายังอุบเรื่องไอ้จ๋อง ตาเดียว ที่เขาจะต้องไปพิสูจน์ทราบตามคำนัดหมายนักการเมืองคนดัง ในสายวันพรุ่งนี้
                          
     “เอ้า…เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน ผมจะได้มีแนวทางตอบคำถามพวกน้องๆนักข่าวว่ากำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบกลุ่มมือปืนเมืองเพชร เมืองนครปฐม จะได้ไม่หลุดไปจากข้อเท็จจริง แต่ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมหรือติดขัดก็รีบแจ้งมา ผมพร้อมสนับสนุนและเชื่อมือคุณอยู่แล้ว…..”
                           
    นายพลคนเพชร แคนดิเดทอธิบดีกรมตำรวจหยอดคำหวานปิดท้าย แต่ก็ทำให้รองผู้การหนุ่มนักสืบหัวใจพองโตไปด้วยเช่นกัน
                          
     ——————————————————————————-
                           
    ถึงกำหนดเวลานัดวันรุ่งขึ้น ชลอในชุดซาฟารีสีเข้ม สวมหมวกฮันติ้งแค็ป เดินหนีบกระเป๋าข้างในมีปืนโคลท์ 11 มิลลิเมตร คู่ใจ เดินก้าวฉับๆเข้าไปในโรงแรมแหลมทอง พร้อมลูกน้องตำรวจคนสนิทจ่าตั๋น และจ่ายะ ที่อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบเช่นกันเดินตามมาติดๆ
                           
    รองผู้การกองปราบฯหุ่นมะขามข้อเดียวในชุดซาฟารี เดินตรงไปที่โซนรับแขก ลอบบี้โรงแรม ซึ่งตรงนั้นมีนักการเมืองเพชรบุรี ตระกูลอังกินันท์ ที่ชลอนัดหมายไว้ นั่งอยู่กับชายหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี ส่วนอีกโต๊ะหนึ่งข้างๆก็มีชายฉกรรจ์ 4-5 คนนั่งรออยู่ก่อนเช่นกัน
                          
     นายตำรวจมือปราบยกมือทักทายเพื่อนนักการเมืองรุ่นพี่ พร้อมยกมือรับไหว้ชายหนุ่มที่นั่งคู่กับส.ส.ปิยะ รวมทั้งกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นลิ่วล้อของนักการเมืองคนดัง
                           
    “มาตรงเวลาเลยนะครับท่านรอง….”

    ส.ส.คนเมืองเพชรเปิดฉากทัก พร้อมแนะนำชายหนุ่มที่นั่งอยู่
                             
    “นี่ ….ไอ้จ๋อง ที่มึงอยากเจอตัว…”
                          
     ชลอมองปราดไปชายหนุ่มผิวดำแดง ใส่แว่นตากรอบทองซ่อนแววตามุ่งมั่น หน้าตาดูเคร่งขรึม แต่ลักษณะท่าทางก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นมือปืนหรือนักเลงอะไรตรงไหน

    ผิดกับประวัติในแฟ้มคดีที่เขาให้ลูกน้องตำรวจกองปราบฯที่กรุงเทพไปเอาทะเบียนประวัติมาตรวจสอบ พบว่า ไอ้จ๋อง ตาเดียว มีชื่อจริง สุจินต์ เกษสุวรรณ์ และมีประวัติพัวพันคดีในลักษณะมือปืนรับจ้างหลายต่อหลายคดี
                           
    นายตำรวจหนุ่มวัยฉกรรจ์ ยังเก็บความสงสัยไว้ในใจ เรื่องฉายา จ๋อง ตาเดียว มันตาเดียวตรงไหน เพราะจากเท่าที่สังเกต ตาทั้งคู่ที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นตากรอบทองก็เป็นปกติดีอยู่
                           
    “ไปคุยกันข้างบนดีกว่า มิดชิดดี กูเปิดห้องไว้เรียบร้อยแล้ว…..”

    ส.ส.เจ้าพ่อเมืองเพชรฯพาเข้าเรื่อง พร้อมขยับกุญแจห้องที่อยู่ในมือไปมา เป็นเชิงบอกว่าพร้อมแล้ว
                          
     —————————————————————————————
                          
     “ไหน…มึงเล่าให้กูฟังซิว่ารู้เรื่องแค่ไหน เรื่องยิงไอ้ปุ้ย เอาเรื่องจริงนะ…”
                           
    รองผู้การมือปราบคนพวกเยอะ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารขนาด  6 คนถามเสียงเข้ม จ้องหน้าเขม็งไปที่ชายหนุ่ม ฉายา จ๋อง ตาเดียว ที่อายุอานามน่าจะห่างจากเขาประมาณ 10 ปี  ซึ่งขณะนี้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา หลังเข้ามาในห้องพักลักษณะคล้ายห้องสูท 2 ห้องทะลุติดกันที่เพื่อนนักการเมืองเปิดไว้ โดยในห้องมีเขา จ่าตั๋น จ่ายะ และส.ส.ปิยะเท่านั้น
                           
    “ครับพี่….เรื่องที่ผมไปอยู่เชียงเชียงใหม่ เพราะช่วงนี้พี่แป๋งไม่มีไปหาเสียงที่ไหน ก็ขึ้นล่องมาที่นี่  มาทำเพลงให้ไพรวัลย์ ลูกเพชร มาแจกแผ่นให้นักจัดรายการวิทยุที่เชียงใหม่ให้ช่วยเปิดเพลงให้ ทีนี้ช่วงว่าง ผมก็ไปดูแลบ่อนไอ้ไล้ เพื่อนผมที่สารภี มันเป็นคนนครปฐม

    ทีนี้ไม่รู้ทางเสี่ยปุ้ยที่ให้เขาให้โรจน์ ลำปางเช่าทำบ่อนอยู่ เขามีปัญหากับไอ้ไล้เรื่องทำบ่อน เลยให้ไอ้ลิ้ง ลำปาง คนคุมบ่อนที่นั่นมาคุยกับผม

    ก็ปรับความเข้าใจกันได้ ก็เลยเริ่มรู้จักกับเสี่ยปุ้ย เขาก็ชวนให้มาช่วยดูบ่อนให้ที่ฟ้าธานีเมืองใหม่อีกแห่ง….”
                           
    จ๋อง ตาเดียว เริ่มเล่า….
                           
    “แล้วมึงเคยไปทำอะไรให้เสี่ยปุ้ยมั้ย ประเภทใช้ให้ไปยิงใครบ้าง…..”

    ชลอจี้ถามตรงจุด
                          
     “ก็มีครับ….ก่อนเสี่ยปุ้ยถูกยิงตายไม่นาน เขาใช้ผมหาคนไปยิงไอ้จบ นักข่าวท้องถิ่นที่นั่น มันชอบเขียนข่าวตีเสี่ยปุ้ย ทั้งเรื่องแอบเปิดบ่อน ทั้งเรื่องไนต์คลับที่แข่งกับของพ่อเลี้ยงอู๊ดที่เจ็ดยอด

    เคยคุยกันแล้วคุยกันไม่รู้เรื่อง ให้เงินมันก็ไม่เอา เพราะมันสนิทกับฝ่ายโน้นมาก….”
                           
    “แต่สุดท้ายผมไม่ได้ไปยิงมัน เพราะมีพวกคนเพชรด้วยกันมาขอ บอกอย่าไปทำ เป็นพวกกัน เมื่อพวกขอมา ผมก็ไม่ทำ  แต่ตอนหลังเรื่องมันแตก ไอ้จบรู้ว่า เสี่ยปุ้ยจ้างฆ่า ก็เริ่มระแวง

    ทีนี้ไอ้ตั้ม ลูกชายไอ้จบที่สนิทสนมกับพ่อเลี้ยงอู๊ด รู้เข้ามันคงแค้น อาจจะไปพูดเป่าหูให้พ่อเลี้ยงอู๊ดที่ใจร้อนหูเบา ว่าไอ้เสี่ยปุ้ยเตรียมคนมายิงมันก็ได้ ตรงนี้ผมคาดเดาเอาเองครับพี่….”
                           

    จ๋อง ตาเดียวเปิดปากให้รายละเอียดอย่างไม่มีติดขัดอะไรตรงไหน ไม่มีสะดุด หรือส่อพิรุธอะไร ขณะที่นายตำรวจหนุ่มลอบยิ้ม พร้อมคิดในใจ เข้าเค้า เพราะไอ้จ๋องมันยังไม่รู้ว่ามันถูกโยนบาปว่าเป็นคนยิงเสี่ยปุ้ย ก่อนซักอีก…
                           
    “แล้วมึงคิดว่าถ้าไอ้พ่อเลี้ยงอู๊ดทำ มันจะได้อะไร จะใช้ใครวะ…..”
                           
    “ในแวดวงนักเที่ยวนักเล่น เอาที่เชียงใหม่นะครับพี่ ถ้าหมดเสี่ยปุ้ยไปคน เบอร์ 1 ก็จะเป็นพ่อเลี้ยงอู๊ดคนนี้ทันที เงิน บารมี มีพร้อม และถ้าพ่อเลี้ยงอู๊ดมันจะทำ ก็น่าจะใช้เจ้าฟ้าคราม ผู้จัดการฮันนี่ไนต์คลับ คนสนิทน่ะครับ…..”
                           
    ชลอยิ่งคุยยิ่งถูกชะตา ไอ้หนุ่มฉายา ตาเดียว ประวัติมันโชกโชนไม่เบา รู้ลึก  รู้จริงในหลายที่หลายแห่ง พูดคุยกันหลายเรื่อง

    ในที่สุดก็รู้ว่า ฉายา จ๋อง ตาเดียว นั้นเป็นเพราะไอ้หนุ่มคนนี้ถูกแอบยิงที่เขื่อนเพชร ขณะนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเพื่อนตอนอายแค่ 20 กว่า กระสุนปืนเข้าที่ตีนหูมาออกหางตาซ้าย รักษาตัวนานเป็นเดือนก่อนใส่ตาเทียม ดูไม่รู้ว่าตาเสียไปข้างหนึ่ง
            
    เป็นการหักเหชีวิตของ จ๋อง ตาเดียว มาตั้งแต่นั้น
     
                          

    RELATED ARTICLES
    - Advertisment -

    Most Popular

    Recent Comments