วันที่23 ม.ค.67 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณรอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม.,
พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.ตม.6,พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.พลศักดิ์ แก้วศรีขาว ผกก.ตม.จว.นราธิวาส, พ.ต.อ. เด่นชาย เจริญยุทธ ผกก.สส.บก.ตม.6 พ.ต.ต.กรัณฑ์วาริษฐ์ สมจันทร์ สว.ตม. จว.นราธิวาส
ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
1. รวบหนุ่มอินโด หนีคดีหลอกลงทุน Forex ซุกไทย Overstay นานกว่า 2 ปี
บก.สส.สตม. จับกุมนายพอล อายุ 39 ปี ชาวอินโดนีเซีย โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด หลังตรวจสอบข้อมูลในระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด (Overstay)นานกว่า 2 ปี และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE)
ได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ กงสุลฝ่ายตำรวจ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย รับแจ้งว่า นายพอล เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐอินโดนีเชีย กระทำความผิดในข้อหา ฉ้อโกง โดยการหลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน Forex มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทยประมาณ 320 ล้านบาท ปัจจุบันยังหลบหนีคดีเป็นที่ต้องการตัวของทางการอินโดนีเชีย
พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. สั่งการสืบสวนติดตามจับกุม จนกระทั่งทราบว่า นายพอล ซื้อบ้านหรูราคากว่า 8 ล้านบาท อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี ใช้ชื่อภรรยาคนไทยเป็นผู้ซื้อและเป็นเจ้าบ้าน ได้ขออนุมัติศาลแขวงนนทบุรีออกหมายค้น ตรวจค้นพบนายพอล และพบเงินสดสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ และทรัพย์สินอื่นๆ รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท อยู่ในตู้เซฟภายในห้องนอน
สอบถามให้การว่าถูกทางอินโดนีเซียออกหมายจับข้อหาหลอกให้ร่วมลงทุน Forex มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 320 ล้านบาท จริง และได้หลบหนีหมายจับของทางการอินโดนีเซี่ยมากบดานอยู่ในประเทศไทย โดยไม่คิดว่าจะถูกตามตัว นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย
2. รวบหนุ่มกิมจิหนีหมายจับเกาหลีฉ้อโกง 200 ล้านวอน แอบกบดานในไทยจน Overstay
บก.ตม.3 จับ MR.K (นามสมมติ) อายุ 43 ปี ชาวเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด
หลังสืบสวนทราบว่ามีคนต่างด้าวชาวเกาหลีใต้มีพฤติการณ์น่าสงสัยซึ่งอาจเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ข้อมูลในเชิงลึกพบว่า MR.K อายุ 43 ปีเข้ามาในประเทศไทย เมื่อเดือน เมษายน 2566 และอยู่ในประเทศไทยจนกระทั่งการอนุญาตสิ้นสุด(Overstay) โดยไม่ดำเนินการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ได้ขอให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย ตรวจสอบประวัติทราบว่ามีหมายจับและเป็นที่ต้องการตัวของประเทศเกาหลีใต้ ในข้อหา “ฉ้อโกง” มูลค่าความเสียหายกว่า500 ล้านวอน 12 ล้านบาท และองค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE) กก.สส.บก.
ต่อมาสืบทราบว่า MR.K หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ คอนโดแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงใหม่ ตามจับกุมในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก จว.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
3.ตม.จว.นราธิวาส จับกุมชาวบังกลาเทศ 19 คน โดยกล่าวหาว่า “ปลอมหรือใช้รอยตราประทับปลอมฯ, ปลอมหรือใช้เอกสารราชการปลอมฯ, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
หลังรับแจ้งจากประชาชนว่าพบเห็นบุคคลคล้ายคนต่างด้าว อยู่ภายในตลาดตาบา ต.เจ้ะเห อ.ตากใบ จว.นราธิวาส ไปตรวจสอบพบเห็นคนต่างด้าว 1 คน อยู่หน้าอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.1 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ
ตรวจสอบเอกสารประจำตัวคนต่างด้าว หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง แจ้งว่าอยู่ในอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าว และยังมีคนต่างด้าวอยู่ภายในตัวอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวอีก 19 คน
ชุดจับกุมได้เข้าตรวจค้นและตรวจสอบพบเป็นหนังสือเดินทางประเทศบังกลาเทศทั้งหมด มีรอยตราประทับขาเข้าของด่านตรวจคนเข้าเมือง มีลักษณะผิดปกติ ตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏข้อมูลการเดินทางเข้าราชอาณาจักรแต่อย่างใด ได้นำตัวมาตรวจสอบที่ สภ.ตากใบ
สอบถามทั้ง 19 คน รับว่ามาจากประเทศบังกลาเทศและพักอยู่ประเทศกัมพูชา มีชาวบังกลาเทศที่อยู่ในประเทศกัมพูชาคอยช่วยเหลือสนับสนุนที่พัก รวมทั้งเอาหนังสือเดินทางของพวกตนไปดำเนินการประทับรอยตราประทับขาเข้าประเทศไทยให้ และนำมาคืนก่อนที่จะพาพวกตนลักลอบข้ามพรมแดนมายังประเทศไทยเพื่อจะเดินทางไปยังประเทศมาเลเชียแต่ถูกจับกุมเสียก่อน
ได้จ่ายค่าเดินทางพร้อมค่าใช้จ่ายการประทับตราขาเข้าประเทศไทยให้กับนายหน้าแล้วทั้งหมดที่ประเทศบังกลาเทศ เป็นเงินคนละ 400,000 – 500,000 ทากา คิดเป็นเงินไทยประมาณ 145,000 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมนำตัวส่ง สภ.ตากใบ เพื่อดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาดังกล่าว และจะได้ร่วมกันสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป
ในภาพรวมขบวนการเครือข่ายลักลอบขนชาวบังกลาเทศ เริ่มพบความเคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นปี 2566ทิศทางการลักลอบมาจากประเทศกัมพูชา ผ่านช่องทางธรรมชาติด้านพื้นที่ จว.สระแก้ว ในช่วงต้นปี 2566 เป็นการลักลอบเดินทางโดยเครื่องบิน มีการเก็บค่าดำเนินการกับชาวบังกลาเทศที่ลักลอบฯ ค่อนข้างสูงหลักแสนบาท
ก่อนที่ขบวนการดังกล่าวจะเปลี่ยนวิธีการลักลอบ จากโดยสารเครื่องบิน ไปเป็นการเดินทางโดยรถยนต์ ลักษณะเคลื่อนย้ายคนต่างด้าวเป็นทอด ๆ จากชายแดนประเทศกัมพูชา เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล และเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ภาคใต้ แนวโน้มในการกระทำความผิดของผู้ร่วมขบวนการยังพบการกระทำ
ความผิดอย่างต่อเนื่องและมีการเปลี่ยนแผนประทุษกรรมและรูปแบบการเคลื่อนย้าย โดยช่วงหลังมีการตรวจพบเป็นลักษณะการปลอมแปลง รอยตราประทับของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและปลอมแผ่นประการตรวจลงตรา (Visa)เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ในการเดินทางออกไปประเทศมาเลเซีย
4. ตม.ภูเก็ต ตามรวบผู้ร้ายข้ามแดนหนีโทษจำคุก 10 ปี พบถือ 2 สัญชาติ หลบทำงานดีเจย่านป่าตอง
ตม.จว.ภูเก็ต จับกุม นายอาชมาล อายุ 36 ปี ชาวเบลเยี่ยม และโมร็อกโก ตามหมายจับศาลอาญาที่ 878/2566 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ครอบครองเครื่องกระสุนปืน ชิ้นส่วนอะไหล่หรืออุปกรณ์เสริมซึ่งติดตั้งบนอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำตัวส่งพนักงานอัยการ สำนักงานต่างประเทศดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551
สืบเนื่องจาก สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือถึง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งหมายจับนายอาชมาล(นามสมมติ) อายุ 36 ปี ชาวเบลเยี่ยม ผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว เพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 โดยตามความผิดดังกล่าวศาลอุทธรณ์แห่งกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ตัดสินให้จำคุกนายอาชมาล เป็นเวลา 10 ปี
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตม.จว.ภูเก็ต ตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ ตม. พบว่า ก่อนหน้าที่จะออกหมายจับ ผู้ต้องหาใช้หนังสือเดินทางประเทศเบลเยี่ยมเข้า-ออก ประเทศไทยหลายครั้ง ต่อมาภายหลังพบว่ามีการเปลี่ยนมาใช้หนังสือเดินทางของประเทศโมร็อกโก และแจ้งที่พักอาศัยไม่เป็นหลักแหล่งทั้งกรุงเทพฯ ศรีสะเกษ ภูเก็ตสลับกันไป
ล่าสุดพบว่ามีการเดินทางเข้ามาและแจ้งสถานที่พำนักในพื้นที่ จว.ภูเก็ต โดยพบว่ามาทำงานเป็นดีเจในสถานบริการแห่งหนึ่งในพื้นที่ป่าตองก่อนจับกุมไว้ได้