“วันไหนเหนื่อยแล้วไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทำเพื่ออะไร ให้เราคิดว่าทำเพื่อในหลวง” คำสอนนี้จะทำให้เราก้าวเดินบนเส้นทางของตำรวจได้อย่างมีเกียรติ เพราะว่ามันบ่งบอกว่าเราคือตำรวจของพระราชา ตำรวจของประชาชนครับ”
“เราดีพอที่จะออกไปช่วยประชาชนรึยัง ถ้าต้องออกไปช่วยใครสักคนในตอนนี้เราจะช่วยเขาได้มากแค่ไหน “
แง่คิดดีๆกับนักเรียนนายร้อยหนุ่มหล่อ “ไฟท์”นรต.ณัฐภัทร เสาวภา นรต.รุ่น71
1.ความฝันในวัยเด็ก
ตอนที่ผมเด็กๆผมชอบดูการ์ตูนครับ(ขบวนการ5สีนี่ติดงอมแงม) พอดูเข้าไปเรื่อยๆก็อยากเป็นแบบในการ์ตูน อยากเท่ อยากปกป้องคนอื่น อยากเป็นฮีโร่ให้ทุกคน จนเหมือนว่ามันค่อยๆฝังลงไปในใจว่าอยากเป็นฮีโร่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ครับ
2.ทำไมถึงอยากเป็นตำรวจ
ตอนที่ผมเด็กๆพ่อชอบพาผมไปนู่นไปนี่ แล้วพ่อก็จะเจอคนรู้จักเต็มไปหมดทุกที่เลยครับ แถมเขายังดูเหมือนว่าดีใจมากที่พ่อไปหา ต้อนรับพ่ออย่างดีตลอดๆ ซึ่งทุกครั้งพอผมถามพ่อว่า ใครเหรอ ทำไมเขาใจดีจัง พ่อผมก็จะตอบแนวๆเดิมตลอดว่า”ถ้าเกิดเราช่วยเหลือเขาในเรื่องดีๆแล้วทำดีกับเขา เขาย่อมยินดีที่ได้พบเรา” มันทำให้ผมคิดว่า งานที่พ่อทำนี่ได้ช่วยคนเยอะแยะไปหมด ผมอยากให้คนยิ้มให้ผมเยอะๆแบบพ่อบ้างจัง สิ่งนี้แหละครับจุดประกายความอยากที่จะเป็นได้อย่างพ่อผมขึ้นมา จนทำให้ผมมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็แน่นอนที่สุดครับว่า “งานที่พ่อผมทำไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากตำรวจ” ครับ
3.ความรู้สึกตอนเข้ามาเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พอเข้ามาเรียนแล้วตรงกับที่คิดไหม
มันค่อนข้างจะไปคนละแนวกับที่คิดไว้ตอนเด็กๆเลยครับ เพราะว่าพอมาเจอกับ “โลกของตำรวจจริงๆมันเป็นโลกที่กดดันมากครับ” ความกดดันทั้งจากภายนอก สื่อต่างๆ อินเตอร์เน็ต เว็บเพจต่างๆที่เข้ามารุมโจมตีอาชีพตำรวจ ” รร. สอนให้เรารับความกัดดัน ความกดดันชนิดที่ไม่เคยเจอที่ไหนเลยครับ ” จนแทบท้อในบางครั้งเลยครับ แต่ “ผมคิดตลอดว่าความกดดันที่มันถาโถมเข้ามานี่แหละครับ ที่มันจะทำให้ผมก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง รอบคอบ และสุจริต” ครับ
4.”โอกาสมีสำหรับคนพร้อมและมีความสามารถ
ดังนั้นจงทำตัวเป็นคนที่พร้อมและมีความสามารถอยู่เสมอ”
ผมไม่เชื่อในเรื่องที่ว่าโอกาสมีสำหรับทุกคนครับ
แต่ผมเชื่อว่าโอกาสมีสำหรับคนที่พร้อมจะรับมันเท่านั้นครับ ที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง ผมพลาดโอกาสหลายๆอย่างมากมาย หลายครั้งที่ผมไม่ใช่คนที่ถูกเลือก ก็เพราะว่า ผมไม่พร้อมและไม่มีความสามารถพอครับ แล้วมันทำให้ผมเรียนรู้ว่า เราต้องทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะเข้ามาหา เพราะแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง อย่างน้อยผมก็ได้เต็มที่กับมันแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเจ็บใจทีหลังว่าเราไม่พร้อมกับมันครับ
5.คำสอนตำรวจที่เราชอบ
“วันไหนเหนื่อยแล้วไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทำเพื่ออะไร ให้เราคิดว่าทำเพื่อในหลวง” ประโยคคำสอนจาก พล.ต.ต. ถนอม มะลิทอง รอง ผบช.รร.นรต. มันเป็นคำสอนที่จุดประกายความรู้สึกของผมที่อยากทำอะไรให้ในหลวง ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนรอความช่วยเหลือ มันคือคำสอนที่ตอกย้ำว่า ” องค์กรของเรา มีคำว่า Royal นำหน้า ซึ่งมันสื่ออย่างชัดเจนว่าหน้าที่เราคืออะไร เราทำหน้าที่แทนใคร “
“แล้วคำสอนนี้แหละครับมันจะทำให้เราก้าวเดินบนเส้นทางของตำรวจได้อย่างมีเกียรติ เพราะว่ามันบ่งบอกว่าเราคือตำรวจของพระราชา ตำรวจของประชาชนครับ”
6.ตำรวจในอุดมคติต้องเป็นแบบไหน
ส่วนตัวผมคิดว่าตำรวจคือมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมนุษย์มีความหมายว่า ผู้ที่มีจิตใจสูง เป็นผู้มี หิริโอตตัปปะ ซึ่งก็คือผู้ที่รู้จักความละอายที่จะทำบาป และเกรงกลัวบาป เพราะหน้าที่ของตำรวจคือผู้ดูแลให้สังคมสงบสุข แล้วถ้าวันไหนผู้ที่ทำหน้าที่ตรงนี้ไม่สนใจว่าที่ตัวเองทำอยู่เป็นบาปไหม ไม่กลัวว่าที่ทำลงไปผลของมันจะเป็นยังไง ความสงบสุขของสังคมจะอยู่ที่ไหนล่ะครับ
7.คิดว่างานเราช่วยเหลือสังคมได้อย่างไร
ผมคิดว่างานของ “ตำรวจคือผู้เสียสละและผู้ให้ครับ เสียสละและให้ชีวิตส่วนตัวของเรา เพื่อให้สังคม เพื่อให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลับมาสงบสุข” มีท่อนหนึ่งของเพลง แด่เธอผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ร้องว่า “เธอพร้อมพลีชีวิต ไม่เคยคิด ถึงตัวเธอเอง ยากเย็นเพียงไหน ไม่เกรง ยอมถวายกายใจ คุ้มครอง พี่น้องผองไทย ทั่วฟ้า” เพลงนี้แหละครับทำให้ผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ตำรวจทุกคนพร้อมมอบให้สังคมครับ
8.เวลาเห็นสังคมว่าตำรวจ เรารู้สึกอย่างไร
แน่นอนครับ ด้วยความที่ผมมีพ่อเป็นตำรวจ และผมก็เป็นตำรวจ ผมย่อมรู้สึกบั่นทอนทุกครั้งที่สังคมต่อว่าตำรวจ แต่ว่าหลังจากความรู้สึกบั่นทอนนี้แล้ว ผมต้องเอามาคิดต่อว่าทำไมสังคมถึงต่อว่าการทำงานของเรา ถ้าสาเหตุเกิดจากเราที่ทำผิดเอง สิ่งที่ผมต้องทำคือ เรียนรู้ที่จะไม่ทำแบบนั้น แต่ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เราทำมันถูกต้อง เราต้องมองให้ออกว่าทำไมสังคมยังต่อว่าเราทั้งๆที่เราทำถูก พร้อมกับหาทางบอกกับสังคมว่านี่คือสิ่งที่ถูกนะครับ ที่เขาทำเพราะแบบนี้นะครับ
“ผมเชื่อว่ามีอีกหลายๆคนที่รู้สึกบั่นทอนเหมือนผม แต่ผมอยากให้ฟังเสียงจากนรต.ตัวเล็กๆคนหนึ่งว่า อย่าเอาความบั่นทอนนั้นมาบั่นทอนตัวเราเองครับ”
9.คิดว่าตำรวจยุคใหม่ควรเป็นแบบไหน
ผมคิดว่าตำรวจในยุคนี้ไม่ได้ต้องการแค่คนที่ยิงปืนแม่น ตามสืบตามจับโจรเก่งครับ(แต่ไม่ได้หมายความว่าความสามารถนี้ไม่จำเป็นนะครับ ยังจำเป็นอยู่มาก)ด้วยที่ว่าปัจจุบันภาพลักษณ์ของเราอยู่ในทางลบอยู่ ผมจึงคิดว่าตำรวจยุคใหม่ควรจะเป็นคนที่รู้จักวิธีที่จะตอบโต้กับสถานการณ์และกระแสสังคม ที่เข้ามาโจมตี เปรียบเสมือนว่าเราเป็นนักโต้คลื่น รู้จักดูคลื่นสังคม ไม่ว่าคลื่นจะเป็นยังไงเราต้องเกาะคลื่นนั้นขึ้นสู่ยอดให้ได้ กระแสสังคมมันก็เหมือนคลื่นที่มีมาตลอด มีเป็นธรรมชาติ แต่เราต้องรู้จักเล่นกับคลื่นนั้นจะใช้ประโยชน์จากคลื่นนั้นยังไงถึงจะดีที่สุดครับ
10.ฝากเคล็ดลับการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย สำหรับน้องๆหน่อย
-แรงใจนี่แหละครับคือเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดครับ ตัวผมเริ่มเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารตั้งแต่ ม.2 ครับ จากเด็กที่เรียนเป็นอันดับเกือบท้ายสุดของห้องเรียน แต่มีความฝันว่าอยากเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ถีบตัวเองขึ้นมา ฝึกภาษาอังกฤษที่ไม่ถนัด หัดทำข้อสอบเก่าของแต่ละปี ขยันทบทวนจนแม่นข้อสอบ ทั้งหมดก็เพื่อพิชิตฝันของตัวเอง
-สำหรับโรงเรียนกวดวิชาหลายคนคิดว่าไม่จำเป็นซึ่งผมเคารพทุกความคิดครับ แต่สำหรับผม การพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีความฝันแบบเดียวกัน มันช่วยสร้างแรงบัลดาลใจในการมุ่งมั่นตั้งใจให้ความฝันเราสำเร็จครับ ตอนเด็กๆผมไม่ใช่คนแข็งแรงเลยครับ(ออกจะอ้วนด้วย)แต่ก็มีเพื่อนในสถาบันกวดวิชานี่แหละครับ ไปพาออกกำลัง พาไปวิ่งไปว่ายน้ำ ทำให้ผมสอบพละผ่านได้ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้เลยสำหรับผม
-ไม่มีวิชาไหนไม่สำคัญ ทุกวิชาสำคัญหมดครับ ทุกวิชาคือข้อสอบ ในการสอบเข้า การที่เราทิ้งไปหนึ่งวิชาคือการก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว การที่ผมสอบติดได้เพราะว่าผมไม่เคยหันหลังให้วิชาไหนเลยครับ
“พี่อยากฝากถึงน้องๆว่า ลองหลับตาแล้วจินตนาการดูว่า ตอนนี้เราทำอะไรอยู่ที่ไหน แล้วอีก1ปีต่อจากนี้เราจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหน พี่เชื่อว่าตอนนี้น้องๆทุกคนมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง ลองใช้มันสร้างแรงบัลดาลใจดูครับ ใช้ฟังเพลงปลุกใจก็ได้ แค่อย่าให้แสงที่หน้าจอโทรศัพท์มันสว่างกว่าอนาคตของเราก็พอ”
ปิดท้ายกับน้องไฟท์ “ในขณะที่ผมยังเป็นนักเรียน ผมถามตัวเองเสมอว่าเราดีพอที่จะออกไปช่วยประชาชนรึยัง ถ้าต้องออกไปช่วยใครสักคนในตอนนี้เราจะช่วยเขาได้มากแค่ไหน เราต้องตั้งใจและเป็นตำรวจที่ดีให้ได้”