ตอน 19
ในฐานะที่คุณไม่ได้อยู่ในนิวยอร์ก
เดอะ วิคเกอร์ บาร์ นั้นตั้งอยู่ในโรงแรมระดับหรูชื่อ เดอะ เซตัน โฮเต็ล ผมเคยไปบ่อย ๆ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปอีกเลย ผมเลิกไปอย่างทันทีทันใด มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพวกวางมาดอวดโอ่และจอมปลอมทั้งหลายมาชุมนุมกัน
บาร์แห่งนี้เคยมีสองสาวฝรั่งเศสชื่อ ทีน่ากับจานีน เล่นเปียโนและร้องเพลงคืนละสามรอบ หนึ่งในสองเล่นเปียโนบรมห่วย อีกสาวเป็นนักร้อง เพลงที่เล่นส่วนใหญ่เป็นเพลงเนื้อหาสองแง่สองง่ามหรือเพลงฝรั่งเศส
จานีนสาวนักร้องชอบทำพูดกระซิบแผ่วเบากับไมโครโฟนก่อนจะขับขานเพลง เธอมักจะพูดว่า
“เราขอเสนอบทเพลงอันสุดประทับใจเราในแบบวูลี่ วูลี่ ฟรังเซ่ มันเป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงชาวฝรั่งเศสที่ก้าวเข้ามาในเมืองใหญ่อย่างมหานครนิวยอร์ก แล้วก็ตกหลุมรักหนุ่มน้อยจากย่านบรู๊กลีน เราหวังว่าผู้ฟังคงจะชอบเพลงนี้นะคะ”
ถัดจากที่เธอกระซิบกระซาบเกริ่นนำแล้ว ก็ทำท่าทางน่ารักแทบอ้วก เธอร้องเพลงที่สุดโปรดปรานในสำเนียงอังกฤษปนฝรั่งเศส และพาให้พวกดัดจริตดีดดิ้นคลั่งไคล้ใจจะขาด ถ้าคุณนั่งอยู่ในนั้นนานพอและได้ยินได้ฟังพวกจอมปลอมกระซิบกระซาบกัน คุณจะต้องเกลียดชังคนทั้งโลกแน่นอน ผมสาบาน
เจ้าบาร์เทนเดอร์ก็พวกห่วย ๆ เหมือนกันพวกชอบวางฟอร์มยโส เชิดไม่คุยกับคุณเลย ถ้าคุณไม่เด่นไม่ดังหรือเป็นผู้ลากมากดีอะไรทำนองนั้น แต่ถ้าคุณเป็นคนเด่นคนดังหรือไฮโซสักอย่างล่ะก้อ มันก็จะยิ่งน่าคลื่นเหียนเลย มันจะเข้ามาหาและคุยกับคุณด้วยรอยยิ้มที่เจือมิตรภาพอย่างเหลือหลาย ราวกับว่ามันมาดเท่เหลือร้าย ถ้าคุณรู้จักมันดี
“เป็นไงบ้างล่ะคอนเนกติกัต” หรือ “ฟลอริดาล่ะเป็นยังไงบ้าง” มันเป็นสถานที่น่าท่องเที่ยว ผมไม่พูดเล่น แต่ก็ไม่คิดจะไปเยือนเลย
ยังเร็วเกินไปที่ผมจะไปถึงที่นั่น ผมนั่งที่บาร์ มีคนหนาตาพอสมควรสั่งสกอตและโซดาสองสามแก้ว ก่อนที่เจ้าลูเช่จะโผล่มา ผมลุกขึ้นยืนเมื่อผมสั่งพวกเขา เขาก็จะมองเห็นว่าผมสูงแค่ไหนและไม่คิดว่าผมเป็นแค่เด็กเลวๆ
แล้วผมก็เหลียวมองดูพวกจอมปลอมสักพักชายคนที่อยู่ติดกับผมดูท่าทีเย็นชากับสาวคู่ควง เขาบอกเธอว่ามือเรียวงามเหมือนสาวไฮโซนะ น่าแหวะเกิน
อีกคนอยู่ด้านในสุดของบาร์ท่าทางกระตุ้งกระติ้ง แต่ไม่ออกแนววี้ดว้ายสักเท่าไหร่ ผมหมายถึงว่าพวกเขาไม่ไว้ผมยาวเกินไปนัก แต่คุณพูดได้ว่าพวกนี้ก็ยังดูเป็นพวกลักเพศอยู่ดีแหละ ในที่สุดเจ้าลูเช่ก็โผล่มาจนได้
เจ้าลูเช่มันเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาของนักเรียน ตอนผมเข้าเรียนที่วูตัน สิ่งเดียวที่มันทำทั้งปีคือแต่เรื่องเซ็กซ์ ช่วงดึกๆ ที่พวกผู้ชายมารวมกันในห้อง มันรู้มากในเรื่องเพศศึกษา เรียกว่าระดับผู้ชำนาญการพิเศษก็ว่าได้
มันชอบเล่าเรื่องของไอ้น่าขยะแขยงคนหนึ่งที่ชอบทำวิตถารกับแกะ และเรื่องไอ้คนวิปริตชอบดมชุดชั้นในผู้หญิง มันเย็บติดกับด้านในของหมวกที่มันใส่ประจำ รวมถึงเรื่องของเกย์และเลสเบี้ยน
เจ้าลูเช่มันรู้ไปหมดว่าใครเป็นเกย์ใครเป็นเลสเบี้ยนในสหรัฐอเมริกาเลยเชียวล่ะ คุณแค่ชี้ไปที่ใครหรือหน้าไหนก็ตาม เจ้าลูเช่จะบอกว่าหมอนั่นเป็นเกย์หรือเปล่า บางครั้งก็ยากที่จะเชื่อตามมันว่าที่บอกว่าเป็นเกย์หรือเป็นเลสเบี้ยน อย่างดาราหนังบางรายมันบอกว่าใช่เลยก็แต่งงานแล้ว ให้ตายสิ คุณลองบอกมันว่า
“มึงหมายถึงโจ โบรว์ เป็นเกย์หรือ โจ โบรว์ น่ะตัวเอ้เลย ดารานักบู๊เล่นหนังแนวแก๊งทรชนและคาวบอยแทบทุกเรื่องน่ะเหรอ”
เจ้าลูเช่จะตอบว่า “แน่นอนที่สุด” มักมักพูดเสมอว่า“แน่นอนที่สุด” มันชอบพูดอย่างนั้นไม่ว่าดาราชายคนนั้นจะแต่งงานหรือไม่ก็ตาม
มันบอกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วในโลกนี้ ล้วนเป็นเกย์ แม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม มันบอกว่าคุณลองอยู่กับใครตลอดคืน ถ้าคุณรู้จักพวกที่มีสันดานแบบนี้ มันมักจะทำให้เราหวาดผวา ผมยังเคยรอคอยเจอพวกเกย์ด้วยเลย
สิ่งที่น่าขันของเจ้าลูเช่ ผมคิดว่าตัวมันเองนั่นแหละเป็นเกย์ ในแบบที่มันเป็น
มันชอบพูดว่า “ลองขนาดนี้สิ” และแล้วมันก็ทำให้คุณเป็นไอ้งั่งไปเลย ระหว่างที่ลงไปตามระเบียงทางเดิน และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันไปโรงอาบน้ำ มันมักชอบประตูคุยกับคุณ ขณะที่คุณกำลังแปรงฟันหรือทำอะไรอยู่ นั่นแหละลักษณะของพวกเกย์แน่
ใช่เลย ผมพอจะรู้เรื่องพวกเกย์บ้างในโรงเรียน พวกนี้ชอบทำอย่างนั้นเสมอ นั่นทำไมผมถึงได้สงสัยในตัวของเจ้าลูเช่ยังไงล่ะ แม้ว่ามันท่าทางฉลาด แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
มันไม่เคยเอ่ยทักทายตอนเจอคุณ สิ่งที่มันเอื้อนเอ่ยตอนนั่งลงคือมีเวลาคุยแค่ชั่วประเดี๋ยว ประด๋าวนะ มันอ้างว่ามีนัด แล้วก็สั่งดรายมาร์ตินี มันบอกบาร์เทนเดอร์ว่าให้หวานนิดหน่อย ไม่ต้องใส่ลูกโอลีฟ
“เฮ้ย กูเจอเกย์คนหนึ่งว่ะ” ผมบอกมัน “ตรงมุมสุดโน่นไง อย่าเพิ่งหันไปมองนะ กูคอยเฝ้าไว้ให้มีงด้วยล่ะ”
“ขำตายชัก” มันตอบประชด
“ไอ้คอลฟีลด์มึงไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเมื่อไหร่มึงจะโตขึ้นเสียทีวะ”
ผมเริ่มทำให้มันรู้สึกเซ็งแล้ว อย่างนั้นจริง ๆ แต่อย่างไรมันก็ยังชอบล้อเลียนผมเหมือนกัน มันติดนิสัยชอบยั่วแหย่อารมณ์ผมคนหนึ่ง
“ไงวะ ชีวิตทางเพศของมึง” ผมถาม เรื่องที่มันเกลียดมากที่ถูกถามอย่างนี้
“ใจเย็นโว้ยเพื่อน” มันพูด “นั่งปล่อยตัวตามสบายสิปัดโธ่”
“กูกำลังทำตัวผ่อนคลายสบายอยู่แล้วนี่” ผมตอบ “เป็นไงโคลัมเบีย ชอบมั้ยวะ”
“ก็แน่สิ กูชอบอยู่แล้ว ถ้าไม่ชอบก็ไม่ไปเรียนหรอก” มันมีท่าทางเหนื่อยหน่ายบางครั้ง
“มึงเอกวิชาอะไรวะ” ผมถามต่อ “พวกวิปริตวิตถารเหรอ” ผมกระเซ้าแหย่มัน
“นี่มึงต้องการให้มันเป็นเรื่องตลกแค่นั้นเหรอวะ”
“เปล่า กูไม่ได้ล้อเล่น” ผมพูด “ฟังนะเพื่อน ลูเช่ มึงเป็นพวกหัวดีคนหนึ่ง กูอยากได้คำปรึกษา กูกำลังตกอยู่ในสภาวะลำบาก__”
มันส่งเสียงพร่ำวอนกับผม
“คอลฟีลด์ ทำไมมึงไม่สงบ ๆ นั่งจิบเหล้าไปคุยกันเรื่องเบา ๆ มั่งวะ”
“ก็ได้ ก็ได้” ผมตอบ
“สบาย ๆ”
คุณรู้ได้เลยว่ามันไม่อยากถกปัญหาเครียดกับผมหรอก นันแหละความห่วยของพวกทรงภูมิปัญญาล่ะ ไม่เคยจะถกอะไรที่เคร่งเครียดยกเว้นที่พวกมันนึกอยากก็เท่านั้น เอง สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงแต่คุยเรื่องดินฟ้าอากาศสารพัน
“ไม่ได้พูดเล่นนะ ชีวิตทางเพศของมึงเป็นยังไงวะ” ผมถามมันอีก “มึงยังคั่วเด็กคนเดิมสมัยเรียนที่วูตันหรือเปล่าวะ คนที่มีทีเด็ด__”
“โธ่เอ๊ย ไม่เอาแล้ว” มันพูดอย่างเซ็ง ๆ
“เป็นไง เกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะ”
“กูแทบจะลืมไปหมดแล้ว เท่าที่รู้นะ ตั้งแต่มึงถามมาเนี่ย เธออาจจะไปเป็นโสเภณีแถวนิวแฮมเชียร์ไปแล้วมั้ง”
“นั่นไม่ดีเลยว่ะ ถึงเธอชอบให้มึงมีเซ็กซ์ได้ตลอดเวลา มึงก็ไม่สมควรพูดถึงเธอแบบนั้นเลยนะ”
“โอ้พระเจ้า” เจ้าลูเช่อุทาน “นี่เป็นการสนทนาในแบบฉบับของนายคอลฟีลด์เหรอนี่ อยากรู้จริง ๆ”
“ไม่ใช่เลย” ผมพูด “ยังไงมันก็ไม่ดีว่ะ ถ้าเธอเป็นคนที่น่ารักมากพอที่จะทำให้มึง__”
“เอ๊ะ นี่เราจะต้องมาพะวักพะวงกับความคิดบ้า ๆ อย่างนี้ด้วยเหรอวะ”
ผมเงียบไปเลย เกรงว่ามันจะลุกขึ้นเดินหนีไปเลยถ้าผมยังไม่หุบปากเสียที ผมเลยจำต้องสั่งอีกดริงก์ จนเริ่มใกล้จะเมาเข้าแล้ว
“แล้วตอนนี้มึงคั่วกับใครอยู่วะ” ผมถามมัน “บอกได้หรือเปล่า”
“มึงไม่รู้จักหรอก”
“เหรอ ใครวะ กูอาจจะรู้จักก็ได้นะ”
“เด็กแถวหมู่บ้าน เป็นประติมากร เฮ้ย มึงรู้แค่นี้พอแล้ว”
“เหรอ พูดจริงเปล่า อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเธอ”
“ไม่เคยถามหรอกว่ะ ให้ตายสิ”
“ประมาณก็ได้น่า เทาไหร่”
“กูกะว่าสามสิบปลาย ๆ มั้ง” เจ้าลูเช่ตอบ
“หา__สามสิบปลายเหรอวะ มึงชอบอย่างนี้นะ” ผมยังข้องใจ
“มึงชอบผู้หญิงแก่ขนาดนั้นเชียวเหรอวะ”
เหตุผลที่ผมถามเพียงเพราะมันรู้เรื่องเซ็กซ์ไม่น้อย มันเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนชายที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ มันเสียพรหมจรรย์ตั้งแต่อายุสิบสี่ที่แนนทัคเกต มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
“กูชอบคนมีประสบการณ์ ถ้ามึงคิดว่าอย่างนั้นน่ะถูกต้อง”
“มึงเป็นอย่างนั้นเหรอ ทำไมล่ะวะ พูดเล่นน่า พวกนี้เก่งเรื่องเซ็กซ์มากงั้นเรอะ”
“ฟังนะพวก พูดตรง ๆ กูจะไม่ตอบคำถามของไอ้คอลฟีลด์คืนนี้เมื่อไหร่มึงจะโตเสียทีวะ”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ทิ้งระยะไว้สักครู่ แล้วเจ้าลูเช่ก็สั่งมาร์ตินีอีกบอกบาร์เทนเดอร์ผสมให้อ่อนหวานลงกว่าเดิมอีกสักหน่อย
“ฟังนะ มึงควงเธอมานานแค่ไหนแล้วล่ะ แม่ประติมากรสาว” ผมถามมันด้วยความสนใจจริง ๆ “มึงรู้จักเธอตอนเรียนทีวูตันหรือวะ”
“ไม่ใช่เลย เธอเพิ่งเข้ามาประเทศนี้ได้ไม่กี่เดือนนี้เอง”
“จริงเหรอ แล้วมาจากที่ไหนล่ะ”
“มาจากเซี่ยงไฮ้เลยว่ะ”
“เฮ้ย พูดเป็นเล่นน่า เป็นสาวหมวยเมืองจีนเหรอ ให้ตายสิวะ”
“ชัดเป๊ะเลย”
“ทำไมวะ ชักอยากรู้ว่ะ อยากรู้จริง ๆ”
“กูก็เพิ่งนึกอยากจะแสวงหาปรัชญาตะวันออกที่น่าพึงพอใจมากกว่าตะวันตกก็ตอนที่มึงถามนี่แหละ”
“เอางั้นเหรอ มึงหมายความว่าอะไรวะ ปรัชญา มึงหมายถึงเรื่องเซ็กซ์เท่านั้นหรือเปล่า มึงคิดว่าวิถีของคนจีนดีกว่ารึไงวะ”
“ไม่จำเป็นต้องจีนเท่านั้น ให้ตายสิ กูบอกว่าตะวันออกไง เรามาคุยเรื่องนี้ทำห่าอะไรวะ บ้าบอไร้สติ”
“เฮ้ยฟังนะ กูจริงจังมาก” ผมพูด “ไม่ได้พูดเล่น ๆ ทำไมปรัชญาตะวันออกดีกว่าวะ”
“มันยากที่จะหยั่งถึงยังไงล่ะเฟ้ย” เจ้าลูเช่เล่นสำนวน “พวกเขามองเซ็กซ์เป็นเรื่องกายภาพกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ถ้ามึงตรองดูดี ๆ กู__”
“เหมือนกัน เหมือนกัน กูมองมันเหมือนที่มึงว่าอะไรนั้น กายภาพกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณนั่นแหละ แต่มันขึ้นอยู่กับว่ากูนอนกับใครอีกด้วย ถ้ากูนอนกับใครสักคนที่กูไม่แม้แต่__”
“เฮ้ย อย่าพูดดังนักสิวะไอ้ห่าคอลฟีลด์ ่ถ้ามึงจัดการลดเสียงลงไม่ได้ ก็หยุดพล่ามไปเลย__”
“ก็ได้ แต่ฟังนะ” ผมพูด ผมเกิดอาการตื่นเต้นมาก และพูดเบาลงอีกนิดหนึ่ง บางครั้งผมก็พูดดังบ้างเมื่อเกิดอาการตื่นเต้น
“คือที่กูหมายถึง” ผมพูด “กูรู้ว่ามันเป็นเรื่องกายกับจิตวิญญาณ และก็ศิลปะด้วย แต่ที่หมายถึงคือว่ามึงปฏิบัติอย่างนั้นกับทุกคนไม่ได้หรอกนะ สาว ๆ ทุกคนที่มึงคั่วอยู่ด้วย แล้วก็ทำให้ออกมาในสภาพนั้น ใช่หรือเปล่าวะ”
“หยุดดีกว่าว่ะ” เจ้าลูเช่พูด “ได้มั้ย”
“เออ ก็ได้ แต่ฟังนะ ตัวมึงกับสาวหมวยนั่น ไปกันได้ดียังไงวะ”
“เลิกพูดได้แล้ว กูบอกแล้วไง”
ผมเงียบลงสักพัก เหมือนอยู่ตามลำพัง นั่นเป็นพฤติกรรมที่น่าเบื่อหน่ายของเจ้าลูเช่ ตอนที่เราเรียนอยู่วูตัน มันทำให้คุณเล่าหมดเปลือกถึงความระยำตำบอนของคุณแทบปลิ้นหมดตัว แต่พอคุณเริ่มถามเรื่องของมันบ้าง มันกลับทำเป็นโมโหฉุนเฉียว
ไอ้พวกหัวดีมักไม่ชอบสนทนาแบบลับสมองกับคุณนักหรอก นอกจากว่ามันจะเป็นคนดำเนินเรื่องเองทั้งหมด พวกนี้มักจะให้คุณหุบปากทุกทีตอนที่มันหยุดพูด แล้วกลับเข้าห้องของคุณไป ในขณะที่พวกนี้ก็กลับเข้าห้องของมันด้วย
ตอนที่อยู่วูตัน เจ้าลูเช่เคยเกลียดแบบนี้แหละ พูดได้เลยว่ามันเป็นอย่างนั้น ตอนที่มันโม้เรื่องเซ็กซ์ในกลุ่มพวกเราในห้องของมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรายังขลุกอยู่และคุยกันเองเรื่อยเจื้อยสักพัก หมายถึงคนอื่นๆ กับผมในห้องของอีกคนหนึ่ง
เจ้าลูเช่จะเกลียดมาก มันต้องการให้ทุกคนกลับไปห้องใครห้องมัน แล้วก็หุบปากเสีย หลังจากที่มันโม้เรื่องเซ็กซ์ทีเด็ดไปหมดชุดแล้ว เรื่องของเรื่องก็เพราะมันกลัวว่าใครบางคนอาจจะมีเรื่องเด็ดเหนือชั้นกว่าของมันต่างหากล่ะ มันชอบแหย่ผมประจำเรื่องนี้
“กูอาจจะไปเมืองจีนบ้างก็ได้ ชีวิตทางเพศของกูไม่เอาไหนเลยว่ะ” ผมบอก
“ปกติจิตใจของมึงก็ยังไม่โตพอนี่หว่า”
“ใช่เลย มันใช่เลย กูรู้ดี” ผมพูด
“มึงรู้ว่าอะไรเป็นปัญหาสำหรับกูกูไม่ค่อยจะมีอารมณ์เซ็กซ์เลย แบบว่าเซ็กซ๋จริง ๆ กับสาวที่กูไม่ได้ชอบอะไรเลย กูว่ากูต้องชอบเธอมาก ๆ ด้วย ถ้าไม่ล่ะก้อ กูก็หมดอารมณ์กับเธอไปเลย ไอ้หนูเอ๋ย มันแย่จริง ๆ เรื่องชีวิตเซ็กซ์ที่น่าขยะแขยงของกู มันเน่าชะมัดว่ะ”
“มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พับผ่าสิ กูบอกมึงแล้วไง ครั้งล่าสุดที่เจอกันว่ามึงต้องการอะไร”
“มีงหมายถึงว่าไปพบนักจิตวิเคราะห์งั้นเหรือ” ผมถาม นั่นคือสิ่งที่มันบอกผมว่าผมควรจะทำอย่างยิ่ง พ่อของมันเป็นนักจิตวิเคราะห์ด้วยนะ
“ก็แล้วแต่มึง ให้ตายห่าสิ ไม่ใช่กงการอะไรของกูเรื่องที่จะจัดการกับชีวิตของมึงยังไง”
ผมนิ่งเงียบสักพัก ใช้ความคิดอย่างหนัก
“ถ้าเผื่อไปพบพ่อของมึง ให้วิเคราะห์สภาพจิตของกูล่ะได้มั้ย” ผมพูดขึ้น
“ท่านจะทำยังไงกับกูวะ ทำยังไงกับกูหือ”
“ท่านไม่ทำอะไรมึงหรอก ก็พูดคุยกับมึง มึงก็คุยกับท่าน ปัดโธ่เว้ยสิ่งหนึ่งที่ท่านจะช่วยให้มึงรู้จักมีสำนึกจดจำและลักษณะแบบแผนจิตใจของตัวมึงเองยังไงล่ะ”
“อะไรนะ”
“แบบแผนของจิตใจมึงไง จิตใจของมึงมันยุ่งเหยิง ฟังนะ กูไม่ใช่กำลังเปิดสอนวิชาจิตวิเคราะห์ ถ้ามึงสนใจนะ โทรไปหาพ่อกูก็ได้และบอกเล่าให้ตรงจุด ถ้าไม่ล่ะก้อ อย่าโทรเชียวนะ กูไม่ว่าอะไรหรอก บอกตรง ๆ”
ผมแตะไหล่มัน ไอ้หนูเอ๋ย มันทำให้ผมขำว่ะ
“มึงนี่เป็นไอ้เพื่อนยากเลยพับผ่าสิ” ผมบอกมัน “รู้เปล่า”
มันดูนาฬิกาข้อมือ “กูต้องไปก่อนนะ” แล้วลุกขึ้น “ดีใจที่เจอมึงนะ” ก่อนเรียกบาร์เทนเดอร์ให้เช็กบิลที่มันเอง
“เฮ้ย” ผมโพล่งก่อนที่มันจะไป “แล้วพ่อมึงวิเคราะห์สภาพจิตใจของมึงมั่งหรือเปล่าวะ”
“กูน่ะเหรอ ถามงี้ได้ไงวะ”
“เปล่าไม่มีอะไร ท่านทำมั้ย ทำหรือเปล่า”
“ก็ไม่เชิงนะ ท่านช่วยกูปรับตัวเองอยู่บ้าง แต่การวิเคราะห์กว้าง ๆ นั้นไม่ค่อยจำเป็นหรอก มีงถามทำไมวะ”
“เปล่า แค่นึกดูว่าเป็นยังไง”
“เออ ทำใจสบาย ๆ เหอะ” มันพูดแล้วก็ทิ้งทิปไว้ก่อนออกไป
“เอาอีกสักดริงก์” ผมชอบมัน “เอานะกูเหงาว่ะ ไม่ได้พูดเล่น”
มันบอกว่าดื่มอีกไม่ได้แล้ว มันดึกมาก แล้วก็กลับทันที
เจ้าลูเช่ มันแสบไม่ย่อย แต่มีเชาวน์ไหวพริบดีเป็นเลิศ ดีกว่าทุกคนในวูตัน ตอนที่เรียนอยู่ที่นั่น เขามีการทดสอบเชาวน์ปัญญาพวกเราด้วยนะ.