“ใช่ยายเจนนี่แหละ เอาเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้า ฉันเห็นมันทำทีเข้าไปเสนองานอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ฉันไม่สนหรอกนะจะบอกไว้ด้วย ฉันโฟกัสเรื่องงานเรื่องเงินอย่างเดียว ใครจะเที่ยวไปพูดใส่ไคล้เอาดีใส่ตัวก็ช่างมันปะไร ไม่สนร้อก”
หญิงวัยสี่สิบปลายพูดกับคู่สนทนาทางโทรศัพท์มือถือ นางเสียบสายหูฟังด้วย มือข้างหนึ่งจับราวเหนือศีรษะ ยึดตัวเองอย่างมั่นคง ขณะรถเมล์ครีมแดงแล่นไปตามเส้นทางและแวะหยุดรับส่งคนตามป้ายรถโดยสารประจำทางไปเรื่อย ๆ
บนถนนเริ่มคับคั่งไปในด้วยรถราเต็มทุกช่องทางจนติดขัด ขยับเขยื้อนไปได้ช้า ๆ เป็นธรรมดาของชั่วโมงรีบเร่ง
“นี่เมื่อวานยังทำเป็นมาพูดดีกะฉัน มือไม้ลูบแขนประจี๋ประจ๋อเชอะ อย่าหวังว่าฉันจะลืมรึไม่รู้เรื่องเลยนะว่ามันทำอะไรไว้ แหมต่อหน้าล่ะอย่างโน้นอย่างนี้ คราวก่อนก็ทีหนึ่งล่ะ ฉันยังจำไม่ลืมเลยไปใส่ไฟให้หัวหน้ามาต่อว่าฉันซะป่นเลยคิดรึว่าฉันจะลืม ฉันไม่ใช่อิฐไม่ใช่ปูนนะจะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ปัดโธ่”
เสียงของนางดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนไม่ใช่การสนทนา แต่เป็นการปาฐกถาต่อผู้ฟังนับสิบ ปลายสายคงได้แต่เออออไปเท่านั้
หญิงสาววัยทำงานสองคนที่นั่งคู่กันใกล้กับหญิงกลางคนที่พูดคุยทางโทรมือถือ คงเงี่ยฟังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้มีเจตนา หากแต่หลีกเลี่ยงปิดโสตประสาทไม่ได้ ในหัวคงคิดไปต่างต่างนานาจนสร้างมโนภาพขึ้นเป็นฉาก เหมือนในละครโทรทัศน์
คงมีบ้างที่ใครบางคนอาจจะเบื่อหน่ายไม่อยากได้ยินเรื่องเล่าของคนแปลกหน้าหรือใครที่ไม่รู้จักเลยบนเส้นทางไปทำงาน
หนึ่งในสองหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาเปิดดู ฉุดดึงจิตใต้สำนึกให้ออกห่างจากกระแสเสียงเรื่องร้อยเรียงของคนอื่นเสีย คงได้ยินเสียงคุยของหญิงคนนั้นเป็นเสียงหึ่งหึ่งเหมือนผึ้งบินไต่ตอมดูดน้ำหวานของดอกไม้ดอกแล้วดอกเล่าอย่างสำราญเพลิดเพลินไปเรื่อยเฉื่อย
เสียงสนทนาเปลี่ยนหัวข้อไปตามจังหวะกระชากกระชั้นของรถเมล์ เมื่อรถกระบะสีเทาคันหนึ่งเปลี่ยนเลนปาดหน้ารถเมล์อย่างกระชั้นชิด จนโชเฟอร์รถเมล์กระทืบเบรกกระตุกอย่างแรงผู้โดยสารในรถหัวทิ่มหัวตำ พร้อมกันมือตบทุบแตรรถเสียงยาวลั่นท้องถนนระบายอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างเต็มที่พร้อมเสียงสบถตามมาอย่างโมโหโทสัน
ข้างรถกระบะก็ใช่ที่ ยังยั่วโชเฟอร์รถเมล์ล้อเล่นกับอารมณ์โมโห คนขับบังคับรถแล่นเอื่อยเอื่อยแสร้งไม่สนใจความรีบร้อนของโชเฟอร์รถเมล์เสียอย่างนั้น
“นี่เธอฟังสอสอภิปรายในสภาหรือเปล่า เออตลกดีเนาะแกฉันงี้ฟังเหมือนดูรายการตลกเชิญยิ้มไปโน่นเลยฮ่าฮ่าฮ่า มีสอสอฝ่ายค้านถามรัดบานถามนายกอะไรนี่แหละเรื่องจะออกกฎหมายให้คนต่างด้าวเช่าที่ดินเช่าบ้านคอนโดได้ยาวถึงเก้าสิบเก้าปี
แทนที่นายกจะมาตอบกระทู้กระท้อนสดสดอะไรเนี่ยแหละ กลับมอบหน้าที่ให้รองนายกคนหนึ่งไปตอบแทน ดูเอาสิเรื่องนี้ฝ่ายค้านเขาถามนายกเองแท้แท้ กลับโยนให้อีกคนไปตอบ ทีนี้มันเหลือเกินเลยล่ะแกเอ๊ย
ไอ้รองนายกควบตำแหน่งรัดมนตีอีกอัน ก็ดันส่งไม้ต่อให้รัดมนตีช่วยด้วย ช่วยไปตอบกระท้อนเอ๊ยกระทู้แทนอีกกระทอกหนึ่ง ฉันจะบ้าตาย นี่มันแข่งวิ่งผลัดกันหรือไงนะแก ฉันล่ะเชื่อเลย พวกนักการเมืองเล่นกันเหมือนเด็กเล่นขายของแน่ะ”
เสียงสนทนาของหญิงสาวใหญ่บ่งบอกว่าไม่ใช่ธรรมดาติดตามข่าวสารการเมืองไม่ตกกระแสเลย
ผิดกับหญิงวัยเดียวกันหรือชาวบ้านทั่วไปที่หลายคนสนใจแต่เรื่องราวแม่ผัวลูกสะใภ้ ทั้งที่มันก็นิยายที่เขาเรียกว่าน้ำเน่ามานมนานกาเล จนเดี๋ยวนี้ก็หนีพล็อตเรื่องแบบนี้ไม่พ้น ทั้งละครและชีวิตจริง ไม่เปลี่ยนอะไรเลยจริงจริงบ้านเมืองนอนขอนไม้แห่งนี้ เทคโนโลยีทันสมัยเป็นได้เพียงเครื่องมือรับใช้พล็อตเน่าเน่าเท่านั้นเอง เช่นเดียวกับลีลานักการเมืองในสภาผู้แทนก็หมือนรายการเล่นจำอวดออกทีวีออกโซเชียลมีเดียแค่นั้น
“อะไรก็ไม่รู้ ไอ้รัดมนตีช่วยด้วยนี่ก็เหมือนกัน รู้เรื่องรึเปล่าว่าเขาตั้งกระท้อนกระทู้ถามอะไร ตอบเขาไปแบบตัวเองยังงงขี้ตาอยู่เลยว่ากูตอบไปได้ยังไง หรือว่าฝ่ายค้านคงถามไม่ตรงคำตอบม้้งซับอิงสิด สิดอิงซับอะไรนี่ฉันก็เพิ่งได้ยินนี่แหละ
ดูสิเขาถามว่าจะแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ชาวต่างชาติมาเช่าที่ดินเช่าคอนโดได้ยาวนานเก้าสิบเก้าปี ท่านรัดมนตีก็ตอบว่าจะรับไปศึกษาดูอีกทีหนึ่ง มันคนละเรื่องเดียวกันเลยนะแก
แล้วไอ้ที่ให้เช่าได้เฉียดร้อยปีนี่ แกเอ๊ย คนเราเกิดมาแล้วตายชาติหนึ่ง จะมีซักกี่คนอายุจะยาวเก้าสิบเก้าปีพอทันได้เห็นว่าไอ้ที่ดินหรือคอนโดนั้นนั้นมันเป็นของคนไทยหรือของต่างด้าวต่างแดนกันแน่หนอแก
ฉันว่ามันก็เหมือนกับขายบ้านขายเมืองให้คนต่างด้าวนั่นแหละ คิดดูเก้าสิบเก้าปีนี่ไอ้คนออกใบอนุญาตตายห่าไปแล้วมันก็ยังเป็นของคนต่างด้าวอยู่นั่นแหละไอ้ที่ดินคอนโดผืนนั้นหลังนั้น คิดดูมันยังเอาไปขายไปจำนองจำนำได้อีกกระทอกแน่ะ ฉันงี้ตลกฝืดขมขื่นใจกับรัดบาดนี้เหลือเกินละแกเอ๊ย”
หวข้อของหญิงนางนี้ เรียกความสนใจกับคนอื่นบนรถเมล์ไม่น้อย หลายคนเผลอพยักหน้าหงึกหงึกพลางยิ้มนิดนิด จนเมื่อรถเมล์เบรกแรงตอนเข้าป้ายหลายคนเซแซดแซดเกือบล้มกลิ้งทีเดียว
“ไม่ไหวล่ะ พอก่อนนะถึงป้ายที่ทำงานแล้ว ฉันขอลงรถเมล์ก่อน ไว้เจอหน้าค่อยเม้าท์กันต่อนะแก ยังคุยไม่จบเลย ฉันฟังแล้วก็ยังงงงงงงงงเหมือนอีตารัดมนตีช่วยด้วยนั้นครือกัลล์”
นางเก็บมือถือเข้ากระเป๋าสะพายก่อนจะขยับก้าวลงจากรถเมล์
เดชา ภู่พิชิต 8/7/2567