“พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์” รองผู้กำกับการฝ่ายป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ถูกนายบุญมา วณิชพงศ์ธร หรือเสี่ยตุ้ง วัย 49 ปี รัวกระสุนยิงใส่ร่างจนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่จนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายในชีวิตรับราชการตำรวจในเครื่องแบบสีกากี
เหตุการณ์สืบเนื่องจาก นายบุุญมาเกิดอาการคลุ้มคลั่งใช้ปืนจี้บังคับลูกสาว 4 คนเป็นตัวประกันภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านดีเค ซอย2 ถนนพระราม 2 แขวงและเขตบางบอน กทม. เมื่อคืนวันที่ 20 ก.ค.2567
พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาระดับรองผกก.ฝ่ายปราบปราม นำลูกน้องไประงับเหตุด้วยตัวเอง และเป็นผู้เข้าไปเจรจาเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุให้ระงับสติอารมณ์ พยายามใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่สุดท้ายไม่ได้ผล ผู้ก่อเหตุมีอาการป่วยทางจิตและคลุ้มคลั่งทำร้ายลูกสาวตัวเองด้วย
เป็นกรณีสลดและที่น่าเสียใจอย่างสุดซึ้งของผู้คนทั่วไปในสังคมไทยขณะนี้
เพียงอีกหนึ่งปี พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์หรือรองหรั่ง จะเกษียณอายุราชการอยู่แล้ว กลับต้องมาสังเวยชีวิตให้กับความคลุ้มคลั่งของคนคนหนึ่งเท่านั้น
นี่คือวิถีชีวิตของตำรวจมืออาชีพอย่างแท้จริง
แต่เป็นที่น่าเสียใจและเสียดายต้องมาสละชีวิตอย่างไม่น่าสมควรอย่างนี้ ด้วยความที่รองหรั่งมีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์และมีความเป็นผู้นำที่มีจิตใจกล้าหาญ มักจะนำหน้าลูกน้องเสมอทุกครั้งที่เผชิญสถานการณ์เสี่ยงภัยอันตราย
เช่นกรณีนี้เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทในครอบครัวที่รองหรั่งเคยมาระงับเหตุหลายครั้ง จึงมีความมั่นใจว่าจะทำหน้าที่สำเร็จลุล่วงอย่างไม่ให้เสียเลือดเสียเนื้อเลยทีเดียว
ถึงขนาดถอดเสื้อเกราะเพื่อแสดงการยืนยันกับผู้ก่อเหตุว่าจะเจรจาให้เรื่องจบลงด้วยดี แม้เมื่อให้ลูกสาวคนหนึ่งที่อยู่นอกบ้านมาพูดเกลี้ยกล่อมหน้าบ้าน รองหรั่งเองยังคิดว่าจะทำให้นายบุญมามีอารมณ์พลุ่งพล่านเดือดดาลมากขึ้นอีก
ต้องบอกให้ลูกสาวคนนั้นออกไปก่อน เพื่อหวังให้ผู้ก่อเหตุลดอุณหภูมิเยือกเย็นลงบ้าง
จะเห็นได้ชัดเจนว่ารองหรั่งปฏิบัติงานอย่างใช้สติและรอบคอบอย่างเต็มความสามารถแล้ว
แต่การเผชิญหน้ากับคนคลุ้มคลั่งสติแตกเยี่ยงนี้ ไม่เหมือนกับอาชญากรโจรผู้ร้ายทั่วไป การพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ บางกรณีก็ใช้ไม่ได้เลย นอกจากอาศัยเวลาเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเท่านั้นด้วยการรอคอยไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม
จึงเป็นเรื่องที่ระดับผู้บริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรจะได้มีการทบทวนการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีคล้ายคลึงกับเรื่องนี้ให้เข้มงวดและชัดเจนมากขึ้น
เราคงไม่อยากสูญเสียตำรวจผู้กล้าหาญเสียสละที่มีน้อยกว่าน้อยในหน่วยงาน เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับ “รองหรั่ง”อีกต่อไป เพราะตำรวจอย่างนี้หาได้ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทร
ท่านรองหรั่งเป็น “ตำรวจมืออาชีพ” ไม่ใช่แบบพวกที่มีอาชีพตำรวจ ที่เห็นกันอยู่ดาษดื่น ตื่นลืมตาขึ้นมาก็คิดหาแต่ผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อ แถมหนักข้อลงมือประกอบอาชีพไซด์ไลน์เป็นเจ้าของบ่อนพนันออนไลน์ ค้ายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฯลฯ
ร่ำรวยอู้ฟู่อวดมั่งอวดมีกันอย่างเย้ยฟ้าท้าดิน ไม่มียางอายแม้แต่น้อย
ลืมความหมายของคำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” หรือกองทิ้งไว้ตั้งแต่พ้นจากรั้วสถาบันกันแล้ว
ดอนรัญจวน
22/7/2567