สำนักงาน ป.ป.ส.เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 18 ก.ย.67พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด และ พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม.
ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการจับกุมนาย เบนนี่ คี ซุน ชวน ( MR.BENNY KEE SOON CHUAN) อายุ 31 ปี นักค้ายาเสพติดข้ามชาติชาวสิงคโปร์ กับขบวนการเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวต่างชาติ
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ป.ป.ส. ได้รับการประสานข้อมูลจากสำนักยาเสพติดกลาง ประเทศสิงคโปร์ (CENTRAL NARCOTICS BUREAU : CNB) แจ้งว่า นาย เบนนี่ คี ซุน ชวน นักค้ายาเสพติดข้ามชาติรายสำคัญที่ทางการสิงคโปร์ต้องการตัวหลบหนีหมายจับศาลแห่งรัฐสิงคโปร์ มาพำนักอยู่ในประเทศไทย
ผู้ต้องหามีบทบาทเป็นผู้สั่งการเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการลักลอบส่งยาเสพติดผ่านพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นยาเสพติดประเภท ไอซ์ คีตามีน เอ็กซ์ตาซี จัดส่งปลายทางประเทศสิงคโปร์ และประเทศออสเตรเลีย จึงได้สั่งการให้นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ติดตามจนพบว่าบุคคลดังกล่าวได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักย่าน ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มีพฤติการณ์ไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในประเทศไทย และมีความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยผิดปกติ
ได้ประสานความร่วมมือไปยัง บก.สส.สตม.เพราะเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ให้อยู่ในประเทศ ไทย เนื่องจากมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ เพื่อขอให้พิจารณายกเลิกวีซ่า รวมทั้งประสาน CNB หรือสำนักยาเสพติดกลาง ประเทศสิงคโปร์ โดยCNB ได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อร่วมสืบสวนติดตามจับกุมด้วย
สำหรับ นาย เบนนี่ คี ซุน ชวน ผู้ต้องหารายนี้ ป.ป.ส. ได้รับแจ้งจากสำนักยาเสพติดกลาง ประเทศสิงคโปร์ หรือ CNB เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงได้รีบเร่งติดตามจนจับกุมได้เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ได้ที่บ้านพักย่านสมุทรปราการ
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า จากนี้ทาง ป.ป.ส. จะดำเนินการผลักดันกลับประเทศสิงคโปร์ ให้ทางการสิงคโปร์ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ตามกฎหมายของสิงคโปร์ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจะได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิต เพราะสิงคโปร์ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้านยาเสพติดที่เข้มงวดที่สุดในโลก
นอกจากนี้ จากการสืบสวนต่อเนื่องยังพบว่าผู้ต้องหารายนี้มีความเชื่อมโยงกับคดีอื่นอีก 2 คดี คือ คดีเมื่อวันที่ 26 มี.ค.64 ชุดปฏิบัติการ AITF ตรวจยึดพัสดุซุกซ่อนไอซ์ เอ็กซ์ตาซี (ยาอี) คีตามีน (ยาเค) เตรียมจัดส่งปลายทางสิงคโปร์ ผู้ส่งพัสดุเป็นชาวสิงคโปร์ ชื่อ MR.TEO ZHI JIE
ต่อมาวันที่ 3 มิ.ย.64 เจ้าหน้าที่ขยายผลจับกุม MR.TEO ZHI JIE จากการตรวจสอบพบว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหารายนี้ กับพวกรวม 3 ราย เชื่อว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดร่วมกัน และคดีเมื่อวันที่ 10 พ.ย.64 ชุดปฏิบัติการ AITF ตรวจยึดพัสดุซุกซ่อนไอซ์ เตรียมจัดส่งปลายทางประเทศออสเตรเลีย สืบสวนขยายผลทราบว่าผู้ส่งพัสดุเป็นชาวสิงคโปร์ ชื่อ MR.WEE PING ADRIAN PEH ต่อมาวันที่ 2 มี.ค.65 เจ้าหน้าที่ขยายผลจับกุม MR.WEE PING ADRIAN PEH ขณะไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จ.สมุทรปราการ
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ส. ไม่ได้นิ่งนอนใจติดตามสอบสวนเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง และนอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ. สำนักปราบปรามยาเสพติด เข้าร่วมประชุมหารือกับทางสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. เรื่องเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวสิงคโปร์ที่หลบหนีมาพำนักในประเทศไทยด้วย
ปัจจุบันปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค โดยพยายามใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่สาม ทั้งการซุกซ่อนในพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางเรือ เป็นต้น
ป.ป.ส. ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีเสมอมาจากหน่วยงานภาคี CNB สิงคโปร์ และจาก ตม. และยังได้ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานระหว่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฯลฯ เพื่อติดตามแลกเปลี่ยนสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านนายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด เผยว่า จากการเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาที่บ้านพักในจังหวัดสมุทรปราการที่เจ้าตัวเช่าไว้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นทรัพย์สิน พบทรัพย์สินจำนวน 26 รายการ เช่น รถยนต์หรู ราคา 16 ล้านบาท นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม ทองคํา เงินสด ฯลฯ มูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท
เบื้องต้นได้ใช้ประมวลกฎหมาย ป.วิ อาญาตรวจยึดไว้ก่อนแล้วให้ผู้ต้องหาชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน ส่วนคำให้การเบื้องต้นผู้ต้องหาได้ให้การว่าบิดาของตนเองมีฐานะร่ำรวยอยู่ที่สิงคโปร์แต่ในทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่สิงคโปร์พบว่าบิดาของผู้ต้องหาไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรตามที่กล่าวอ้าง
ทั้งนี้ ในประเทศสิงคโปร์ยังคงมีเครือข่ายของผู้ต้องหารายนี้อยู่ แต่การที่เราจับกุมนาย เบนนี่ คี ซุน ชวน ในไทยได้ จะทำให้ทางการสิงคโปร์ไปขยายผลในส่วนของเครือข่ายรายอื่น ๆ ต่อได้