ไม่กี่วันที่ผ่านมา ทีมงานผู้การต๋อย–พล.ต.ต.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี โดย พ.ต.อ.เอกชัย วิเชียร ผกก.สส.ภ.จว.ปัตตานี
จับกุม 3ผู้ต้องหา เครือข่ายยาเสพติด ขนไอซ์ลอตใหญ่510 กก. พ่วงยาบ้าอีก 5 หมื่นเม็ด
อำพรางสายตาตำรวจ ด้วยการใส่ถุงชาจีน ใช้กระสอบข้าวทับซุก มากับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ เตรียมส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ไม่รอดโดนจับก่อน ขยายผลยึดทรัพย์ ได้กว่า 110 ล้าน
วันนี้จะพารู้จักกับ พ.ต.อ.เอกชัย วิเชียร ผกก.สส.ภ.จว.ปัตตานี หัวหน้าชุดจับกุมยาไอซ์บิ๊กล็อตกัน
จากเด็กหนุ่มเมืองคอน ครอบครัวชาวสวน อยากเป็นตำรวจตั้งแต่เด็ก พอจบมัธยมเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช มุ่งสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 38 นรต.54 จบปี 2544
คือตั้งแต่นรต.รุ่น 52 เป็นต้นมา ช่วงนั้นไม่จำเป็นต้องลงสอบสวนก่อน แล้วแต่เราเลือก
“จะมีตำแหน่งกำหนดให้มา ว่าเราจะเลือกตำแหน่งไหน จะมีเรื่องอันดับคะแนนด้วย ผมลงตำแหน่งแรกเป็น รอง สว.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี ปี 2544….”
พ.ต.อ.เอกชัยย้อนเส้นทางรับราชการให้ฟัง
เริ่มเส้นทางสีกากีด้วยการทำงานสืบสวนจนมาถึงปี2547 ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับท่าน ผบช.ภ.9 คนปัจจุบัน พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ
นายให้ไปทำงาน ศปก.ส่วนหน้า ที่ยะลา ก็ไปอยู่กับท่าน ตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากนั้น เหตุการณ์เริ่มรุนแรงเรื่อยๆ พ่อแม่ก็รู้ข่าวว่าไปทำงานเรื่องเสี่ยงๆ เรื่องความมั่นคงเลยย้ายให้ท่านสบายใจ กลับไปเป็น รอง สวป.ที่พุนพิน ตอนปี 2548
กลับไป 6 เดือน รู้ตัวเองว่า ไม่ถนัดงานด้านนี้ จังหวะเจ้านายชวนให้กลับไปทำงานเลยตัดสินใจกลับมา
คราวนี้ไม่ได้บอกพ่อแม่ กลับมาเลย อยู่ที่นั่นได้ 6 เดือน ตำแหน่งยังเป็น รอง สวป.ที่พุนพิน แต่มาช่วยราชการ ศปก.ตร.ส่วนหน้า
กลับมาทำเรื่องงานสืบสวนเหมือนเดิม รับผิดชอบพื้นที่ปัตตานีตั้งแต่นั้น
ตำแหน่ง อยู่ที่ภาค 8 ไปขึ้น สว.สืบสวน ที่เกาะยาว จ.พังงา แต่ทำงานที่นี่ตลอด ส่วนตำแหน่งขึ้นที่โน่น จาก รอง สวป.พุนพิน ไปขึ้น สว.สืบสวน เกาะยาว จ.พังงา
เป็น สว.สืบสวน เกาะยาว ได้1 ปี นายย้ายกลับมาเป็น สว.สืบสวน บก.สส.ศชต.
ขึ้น รอง ผกก.สืบสวน ที่ ศชต.ตำแหน่ง รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ศชต.แล้วก็เป็น ผกก.สืบสวน ที่ปัตตานี ปี 2559
ทำงานสืบสวนรับผิดชอบเรื่องความมั่นคงตั้งแต่ปี 2547ทำมาตลอด ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ มาหลายเหตุการณ์
ความรู้สึกผม คือตั้งแต่จบมา ขอย้อนไปนิดหนึ่ง รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่พิเศษ เป็นพื้นที่เสี่ยง ที่จะประมาทไม่ได้เลย
เหตุการณ์ที่ไปทำมา แล้วเหมือนว่า เป็นงานที่สอนเราว่า เจอสถานการณ์แล้วต้องทำยังไง
ครั้งแรกที่มีการปะทะกับคนร้าย คือเข้าไปแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เพราะมีการยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วชาวบ้านอยู่กันเยอะ คิดว่าคนร้ายน่าจะหนีไปแล้ว
(เมื่อ28ส.ค.46พ.ต.อ.มานิตย์ รัตนาวิน ผกก.สภ.อ.เมืองปัตตานี พ.ต.ท.มนตรี มูลพินิจ รองผกก.ป.สภ.อ.เมืองปัตตานี และ จ.ส.ต.รุ่งโรจน์ กาหมอ
ถูกนายมาหามะ แมเราะ ใช้ปืนอาก้ายิงขณะเข้าล้อมจับ ที่ต.บานา อ.เมืองปัตตานี )
ตอนนั้นเหมือนว่า คือผกก.มานิตย์ ท่านเข้าไปตรวจพื้นที่ ผมก็อยู่ข้างๆท่านด้วย
ไปเดินดู โน่นนี่ ไปเปิดเพิงเก็บของ นิดเดียว ตอนที่ท่านถูกยิง เราก็ยังเด็ก เพิ่งจบมา 2 ปี
พอได้ยินเสียงปืนปุ๊บ ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ยังยืนแบบไม่รู้เรื่อง
แต่พอเห็นรุ่นพี่ๆ เขาหมอบ เขาใช้ยุทธวิธี ในการหาที่กำบังก็เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วก็ทำตามเขา แต่รู้สึกว่า ทำช้าไป ถ้าเกิดมีเหตุการณ์อะไรที่ฉุกเฉินขึ้นมา
นี่คือครั้งแรกเลย ที่มีการสูญเสีย ตอนนั้น เสียไป 3 ศพ เป็นครั้งแรกที่มาทำงานแล้วเจอเหตุการณ์ปะทะ
เหตุการณ์ครั้งที่ 2 ตอนที่มีการปะทะที่มัสยิดกรือเซะ มีการเผาป้อม วันนั้น28 เม.ย.2547 มีการก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัด 4อำเภอ ในหลายจุด
ผมเป็น รอง สว.สืบ เมืองปัตตานี รับแจ้งประมาณตี 5 ตอนหัวรุ่ง มีเหตุโจมตีป้อม มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ
ผมกับ สว.สืบ นำกำลังเข้าไปช่วยเหลือเป็นชุดแรก เพราะที่พักอยู่ไม่ห่างที่เกิดเหตุมากนัก
พอไปถึง ไฟกำลังลุกไหม้ที่ป้อมอยู่เลย แล้วเจ้าหน้าที่ก็ได้รับบาดเจ็บ ยังอยู่ในที่เกิดเหตุ สอบถามเจ้าหน้าที่ ก็บอกว่า คนร้ายหนีไปทางมัสยิด
เราก็เดินตามรอยเลือดเป็นทางไป ตามถนน เส้นทางหน้ามัสยิด
ไปถึงหน้ามัสยิด ก็ได้ยินเสียงปืน ดังเป็นชุดเลย ยิงออกมา เป็นการปะทะครั้งที่ 2
ผมมีประสบการณ์จากครั้งแรกแล้วว่า พอได้ยินเสียงปืน ต้องหมอบทันที ผมก็หมอบ เดินเข้าไป 4-5 คน คนอื่นเขาหมอบปุ๊บ เขากลิ้งลงข้างทาง
แต่ผมหมอบปุ๊บ ยังอยู่ติดถนน ไม่มีประสบการณ์อีกว่า เราหมอบนี่ เราอยู่เฉยไม่ได้ หมอบแล้วจะต้องหาที่กำบัง ต้องกลิ้ง เข้าข้างทาง หาที่กำบัง
นั่นเป็นครั้งที่ 2 ที่คิดว่า เราจะต้องเร็ว จะต้องหาที่กำบัง เสียงปืนที่ยิงเข้ามาชุดนี้ ก็เป็นเหตุให้ตำรวจกองปราบ เสียชีวิต 1
ครั้งที่ 3 ที่เฉียดมากที่สุด คือ ผู้กองสมนึก มาแสวง ที่เสียชีวิต ตอนนั้นผมก็ทำงานร่วมกับพี่ใหม่(พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์) ก็ไปปิดล้อมพื้นที่หนองจิก ตรวจค้นบ้าน 5-6 หลัง
แล้วบ้านหลังสุดท้ายที่มีปัญหา คือเจ้าของบ้านมีพิรุธ
มันมีห้องหนึ่ง ที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ มันล็อกจากด้านใน ก็มีการเจรจากันอยู่
ระหว่างเจรจา หมวดสมนึก เห็นช่อง เป็นเหมือนตู้ ที่กั้นห้องนี้ไว้ ยกตู้นี้ออกก็สามารถเข้าห้องนี้ได้ เดินเข้าไปที่ตู้ตรงนั้น
พอผู้กองสมนึก แบกตู้ออกก็เดินเข้าไป ผมก็คิดว่า ทำไมรีบ เข้าไปเร็วเกินไปรึเปล่า แว้บหนึ่ง แต่ก็เดินตามเข้าไป เพราะเขาเดินไปคนเดียว ผมจะเข้าไปคัพเวอร์
พอเข้าไปข้างในปุ๊บ ได้ยินเสียงปืนขึ้นมาเลย 1 นัด แต่ไม่รู้ใครยิงใคร
เราได้ประสบการณ์แล้ว หมอบ แล้วกลิ้งหาที่กำบัง เป็นสัญชาตญาณอัตโนมัติเลย ไม่ได้คิดล่วงหน้า
หมอบแล้วก็กลิ้งตกลงมาจากบ้าน คนร้ายมันเอาปืนเอ็ม 16จากหมวดสมนึก ยิงใส่ผมเลย เฉียดมากๆ ถ้าไม่กลิ้งตกลงมา ตายไปแล้ว
ประสบการณ์มันสอนเราเลย ล้มปุ๊บ หมอบปุ๊บ กลิ้งเลย
ยังนึกไม่ออกเลย ว่าตกจากบ้านลงมาท่าไหน แต่ว่าตกลงมา มันชิงปืนจากหมวดนึก แล้วยิงอัดใส่ผมเลย เพราะผมอยู่ข้างล่าง พออัดใส่มา เราก็ยิงกดเข้าไป มันก็หลบไป
สรุปสุดท้าย เคสนี้ ก็วิสามัญคนร้าย 2 คน ที่อยู่ในบ้าน
นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำงานด้านนี้ แล้วก็ปะทะมา ก็ทำงานด้านนี้ หลังจากนั้นก็มีมาตลอด
คดีล่าสุด เป็นเคสวิสามัญ 7ศพ ที่ยะรัง เมื่อเดือน ส.ค.63 ชุดนี้เป็นชุดระดับสั่งการตัวสำคัญในพื้นที่หลายคน มีหมายจับเยอะ มาอยู่รวมกัน
จริงๆ ก็เชื่อว่า น่าจะมารวมกันเพื่อจะวางแผนก่อเหตุอะไรบางอย่าง
แต่ละคน อย่างมะสุกรี สะลูเมาะ จากการสืบสวน ก็เป็นคนสั่งการเรื่องวางระเบิด เคสนางเงือกที่สงขลา แล้วหลายๆ เคส เกี่ยวข้องกับชุดที่ไปวางระเบิด 7 จังหวัดตอนบนด้วย
นอกจากนั้นก็มี อามะ จาจา ผู้ก่อการร้ายตัวสำคัญ ตัวเก่าเกือบ 20 ปีแล้ว มีหมายจับเยอะ หลบหนีมานาน
ระดับครูฝึกอาร์เคเค ก็มีนายอาหมัด บือเระ ใน 7คนนี้ เป็นตัวการสำคัญๆ ในพื้นที่
ครับ….นี่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของ1ในนักรบสีกากีแดนใต้ พ.ต.อ.เอกชัย วิเชียร ที่ใช้ชีวิตอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงมาตั้งแต่พ้นรั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
ประสบการณ์จริงนับไม่ถ้วนที่สั่งสม รวมทั้งชีวิตผู้กล้าที่สูญเสียไป
คือบทเรียนสอนให้รู้ว่าต้องทำอย่างไรในสงครามที่ไม่รู้จบ
กากีกลาย14/3/64