ตำนานมือปราบพระกาฬ ชลอ เกิดเทศ โดยกิตติพงศ์ นโรปการณ์
ภาพที่ตำรวจอ่างทองทุกคนมองเห็น
เป็นชายวัยรุ่น 2 คน ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน แขนยาวพับแขน กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ
อีกคนสวมเสื้อยืดแขนสั้น สีขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกมายืนอยู่หน้าร้านขายข้าวแกง
คนสวมเสื้อเชิ้ต เคาะบุหรี่เกล็ดทองออกจากซอง หยิบมาคาบไว้ที่ปาก ก่อนล้วงไฟแช็ก “ซิปโป้”ออกจากกระเป๋ากางเกง ใช้ข้อมือสะบัดจนฝาเปิด แล้วใช้มือข้างเดียวกันดีดทีเดียวไฟติด แสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการเล่นไฟแช็กรุ่นนี้พอสมควร
ชายหนุ่มยกไฟแช็กจรดที่ปลายบุหรี่ ดูดจนแก้มตอบ ขณะที่ไฟลุกไปตามยาเส้นจนแดงวาบ อัดควันเข้าปอดเต็มที่ ก่อนพ่นควันโขมงเป็นทางยาวออกจากปาก และจมูก
ส่วนสายตาของคนทั้งคู่ มองไปที่รถบัสโดยสารทุกคันที่จอดหน้าปั๊ม เหมือนรอคอยใครอยู่…
“ไอ้จง มันทำไมมาช้าจังวันนี้…”
ชายคนสวมเสื้อเชิ้ตเอ่ยปากถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“นั่นนะสิ…ปกติมันไม่เคยสายอย่างนี้มาก่อน”
ชายวัยรุ่นทั้งคู่มัวแต่เพ่งมองไปที่หน้าปั๊มน้ำมัน จนลืมสังเกตไปว่ามีชายฉกรรจ์หลายคน ค่อยขยับตัวรายล้อม เข้ามาใกล้
สุดท้ายก็สายเกินกว่าจะแก้ไข เมื่อปืนหลายกระบอกถูกจ่อมาที่ชายหนุ่มทั้งคู่
การเคลื่อนไหวรอบชายหนุ่มทั้ง 2 คน เป็นไปอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาไม่เกิน 10 วินาที กลุ่มชายฉกรรจ์ ทั้งหมดเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าล้อมกรอบชายวัยรุ่นทั้งคู่
ในมือของทุกคนล้วนแต่มีปืนพกที่ชี้ไปที่เป้าหมาย พร้อมระเบิดกระสุนออกมาได้ทุกขณะ
“นี่ตำรวจ…ยกมือขึ้น”
เสียงของชายฉกรรจ์ 1 ในกลุ่มที่ล้อมรอบแสดงตัวข่มขวัญดังลั่น ทำเอาชายวัยรุ่นทั้ง 2 คน ตกใจสะดุ้งยกมือทั้ง 2 ข้าง เป็นสัญลักษณ์ของการยอมจำนน
2 ชายฉกรรจ์ในกลุ่ม เอาปืนเหน็บเอว เดินตรงเข้าไปผลักให้ทั้งคู่นอนราบลงกับพื้น แล้วรวบแขนของคนทั้งคู่ไพล่หลัง สับกุญแจมือเหล็กแสดงถึงการหมดสิ้นอิสระภาพ
————————————————
จง ปากน้ำโพ มั่น ตาคลี และ เทิด ท่าตะโก 3 โจรร้ายแก๊งนครสวรรค์ ที่คอยดักปล้นรถบรรทุกสิบล้อบนถนนหลวงสายเก่าที่วิ่งเลียบคลองชลประทาน ระหว่างจังหวัดอ่างทอง ก่อนจะออกมาทะลุถนนสายเอเชียที่จังหวัดสิงห์บุรี นั่งสิ้นฤทธิ์อยู่ในตู้ยามทางหลวง ที่พันตำรวจตรีชลอ ขอใช้เป็นที่สอบปากคำชั่วคราว
ทั้งหมดรับสารภาพหมดไส้หมดพุง ว่าทั้งรถทั้งของที่ปล้นมาได้จะนำไปขายให้กับ “เฮียเสริม”ที่เสริมการช่าง ก่อนถึงตัวเมืองจังหวัดนครสวรรค์
ทันทีที่ได้ความ นายตำรวจหนุ่มนำกำลังทั้งหมด คุม 3 ทรชน ขึ้นรถไปสมทบกับทีมของ ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ วรรักษา ที่จังหวัดนครสวรรค์ทันที
หลังนัดพบกับนายตำรวจรุ่นน้อง ที่ร้านอาหารข้าวต้มแห่งหนึ่งกลางเมืองสี่แคว
“พี่ลอ… ร้านมันอยู่ตรงเนินเขา ก่อนเข้าตัวเมืองนครสวรรค์นิดเดียว
ผมเข้าไปดูมาแล้ว มันเป็นอู่รถสิบล้อขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นร้านเปลี่ยนแปลงสภาพรถ “ไอ้เสริม”เจ้าของร้าน ก็อยู่ด้วย…”
ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ รายงานข้อมูลให้นายตำรวจรุ่นพี่ ทันทีที่กำลังของทั้ง 2 ส่วนมาเจอกันในสถานที่นัดหมาย
“เอ้า..ให้ลูกน้องกินข้าวกินปลาให้อิ่มก่อน จะได้ไปทำงานต่อกันเลย…”
พันตำรวจตรีชลอ บอกกับลูกน้องทั้งหมด ที่ทุ่มเททำงานกันมาตลอดวัน
หลังทุกคนท้องอิ่ม ชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน แยกย้ายกันขึ้นรถนานาชนิด ประมาณ 5-6 คัน ที่จอดอยู่หน้าร้านอาหาร ออกรถมุ่งหน้า ร้าน “เสริมการช่าง”ที่อยู่ห่างไปประมาณ 10 กิโลเมตร
——————————————–
หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอ่างทอง ก้าวลงจากรถแลนด์โรเวอร์ ซีรี่ส์ 3 มีร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ และลูกน้องทั้งหมด เดินตรงเข้าไปที่ร้าน เสริมการช่า
งมีรถบรรทุกสิบล้อนับสิบคัน จอดเรียงรายอยู่ในอู่ คนงาน 5-6 คน กำลังง่วนอยู่กับการถอดชิ้นส่วนอะไหล่รถสิบล้อ ถึงแม้เวลาจะปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว
ชายรูปร่าง สูงโปร่ง ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาก๊วย อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพันตำรวจตรีหนุ่ม เดินออกมาหาทันทีที่รู้ว่ากลุ่มตำรวจทั้งหมด มีวัตถุประสงค์ขอตรวจค้น และตามหานายเสริม เจ้าของร้านให้ออกมาคุย
“อั๊วนี่แหละ เสริม เจ้าของอู่รถสิบล้อที่นี่..”
ชายรูปร่างล่ำสันคนเดิมกล่าวตอบ ก่อนเท้าสะเอวขากเสลดลงพื้น พูดต่อด้วยท่าทียียวนว่า
“จะมาค้นร้านอั๊ว ลื้อมีหมายค้นมาด้วยหรือเปล่า อั๊วรู้จักนายตำรวจใหญ่หลายคนนะเว้ย….”
“ผลัวะ”
แทนคำตอบ พันตำรวจตรีหนุ่ม ยิงหมัดตรงเข้าปลายคางนายเสริมจนล้มคว่ำด้วยความหมั่นไส้
ก่อนนำ 3 คนร้ายที่เพิ่งจับกุมได้ ออกมาชี้ตัวนายเสริม ว่าเป็นคนคนเดียวกับที่มันขายรถสิบล้อที่พวกมันปล้นมา จากนั้นออกคำสั่งกับนายตำรวจรุ่นน้อง
“สมเกียรติ…ประสานท้องที่มาลงประจำวันร่วมตรวจยึด ส่วนรถเปล่า สินค้า และซากรถ เอากลับอ่างทองให้หมด”
“ครับพี่….”
ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ ตอบรับคำสั่งของนายตำรวจรุ่นพี่ ท่ามกลางความรู้สึกชื่นชมของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เห็นนายออกมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ และจัดการกับเจ้าของอู่รถหัวหมอรายน้ี
ส่วน เฮียเสริม เจ้าของอู่โจร ที่ยังนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ถึงกับหน้าถอดสีเป็นไข่ต้ม ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะเจอลูกบ้าของนายตำรวจหุ่นมะขามข้อเดียวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
——————————————————
เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอ่างทองได้ปีกว่า ๆ ช่วงเดือนตุลาคม 2513 มีคำสั่งย้ายให้ไปเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระนครศรีอยุธยา
โดยร้อยตำรวจเอกคงพล สุวรรณรักษ์ ได้รับคำสั่งย้ายตามมาเป็นรองผู้บังคับกอง ทำหน้าที่ฝ่ายปราบปรามที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอพระนครศรีอยุธยาด้วย
ท่ามกลางความดีใจของ “เจิม ภู่สุดแสวง” จ่ากองอาวุโส และจ่าบุญชู ที่เห็นนายเก่ากลับมาเป็นใหญ่ในสถานีแห่งน้ีอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะสไตล์การทำงานชนิดถึงลูกถึงคน การปกครองลูกน้องอย่างเป็นกันเอง ไม่ถือตัว และมีความสนุกสนาน
นี่คือบุคลิกประจำตัวพันตำรวจตรีชลอ เกิดเทศ แต่ไหนแต่ไร
กลับมาเป็นผู้กองเมืองอยุธยาคราวนี้ ทุกเย็น ชาวพระนครศรีอยุธยา ล้วนชินตาเพราะที่ว่างหน้าสถานีตำรวจแห่งนี้กลายเป็นสนามฟุตบอลประจำจังหวัด ไปกลายๆ
เพราะจะมีกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบ 20 คนแบ่งข้าง วิ่งไล่เตะฟุตบอลไปจนค่ำมืด
พันตำรวจตรีชลอ ให้ลูกน้องในโรงพัก จัดทีมฟุตบอลแข่งกันภายใน โดยตัวเขาเองลงเล่นเป็นศูนย์หน้า
แน่นอนเบอร์ประจำตัวของเขา ไม่พ้นเบอร์ 9
ส่วนรักบี้ กีฬาลูกผู้ชายที่เขาเล่นให้กับสโมสรตำรวจมานาน จนได้รางวัลชนะเลิศแห่งประเทศไทย 12 ปี ซ้อน และยังมีดีกรีติดทีมชาติไทยไปแข่งต่างแดนอีกหลายสมัย
ถึงตรงนี้ เขาจำใจต้องแขวนสตั๊ดอำลาลูกหนำเลี๊ยบที่เขาชื่นชอบ เนื่องจากอายุเริ่มมากขึ้น
แต่สายเลือดนักกีฬาที่มีอยู่เต็มตัว ฟุตบอล จึงเป็นกีฬาที่ชายหนุ่มในฐานะผู้บังคับบัญชานำมาเป็นกิจกรรมร่วมกับลูกน้อง
ส่วนรักบี้นัดสุดท้ายในชีวิต พันตำรวจตรีชลอยังจำได้ติดใจ
ขณะนั้นเขายังเป็นร้อยตำรวจเอก ตำแหน่งรองผู้บังคับกอง สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
กรมตำรวจ มีคำสั่งให้เขา และนายตำรวจทั่วประเทศ เดินทางไปฝึกอบรมหลักสูตรพิเศษ ที่ศูนย์ฝึกต่อต้านการก่อการร้าย โรงเรียนพลตำรวจจอหอ จังหวัดนครราชสีมา
เพราะสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอันเป็นภัยจากคอมมิวนิสต์ เริ่มทวีความรุนแรง หลังเกิดเหตุวันเสียงปืนแตก เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พุทธศักราช 2508
วันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก ที่ กิ่งอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม โดยกองกำลังของพรรคที่เรียกตัวเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)
กรมตำรวจ และกองทัพบก ประสานความร่วมมือนำครูฝึกอเมริกันจากหน่วยกรีนแบเรต์ และครูฝึก ตชด.ที่เก่งๆมาเป็นครูฝึกอบรม
นายตำรวจหนุ่มอย่างชลอและเพื่อน มีกำหนดฝึก 3 เดือน ก่อนออกไปต่อต้านกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เริ่มแผ่อิทธิพลไปทั่ว ประเทศ
ฝึกได้ประมาณ 2 เดือนกว่า เกือบจะจบหลักสูตร ที่กรุงเทพมหานคร มีการแข่งขันรักบี้นัดพิเศษ ระหว่างสโมสรตำรวจ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จัดโดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์
สโมสรตำรวจ ดีกรีแชมป์ประเทศไทย ขาดตัวหลัก “ฮุกเกอร์”ตำแหน่งสำคัญ และนั่นเป็นตำแหน่งของ ร้อยตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ
สโมสรตำรวจ จึงทำหนังสือเรียกตัวชลอ มาแข่งขันนัดสำคัญนัดนี้
ท่ามกลางความหนักใจของนายตำรวจหนุ่ม เจ้าของตำแหน่งนี้ ภายหลังได้รับหนังสือเรียกตัว เพราะยังติดอบรมหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา
หลักสูตรนี้ ถือเป็นหลักสูตรสำคัญ หากเดินทางไปแข่งขัน จะทำให้ไม่จบหลักสูตร อาจเสียหายกับตัวเองในอนาคต เพราะเป็นหลักสูตรช่วยชีวิตในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีพในป่า การรบในป่า การดูแผนที่และใช้เข็มทิศกลางคืน
ร้อยตำรวจเอกชลอ ตัดสินใจขอฝึกต่อ
เรื่องจึงไปถึงพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้ตัดสินใจ หลังสโมสรตำรวจทำหนังสือด่วน เพื่อขอตัวชลอ กลับมาทำศึกรักบี้แมตช์นี้