ป.เปิดปฏิบัติล่าแก๊งจอมโจรโคตรปลอมยุค 4 จี จับสองแม่ลูก หลอกปั่นหัวเหยื่อทั้งครอบครัว ตุ๋นเงินเกือบ 3 ล้าน
สายวันที่ 25 ส.ค.64 ที่ บก.ป. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รองผบช.ก. พ.ต.อ.มนตรี เทศขัน รองผบก.ป.พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ บก.ปอท.
ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการล่า “คริส” (The Scammer) จอมโจรโคตรปลอมยุค 4G หลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 5 จุด ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี
จับกุมน.ส.สุนันทินี อายุ 33 ปี และ น.ส.รัชนี อายุ 63 ปี
ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น”
พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง, แท็บเล็ต 1 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ จำนวน 1 เครื่อง, สมุดบัญชี 1 เล่ม, บัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ และเอกสาร ซึ่งน่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
จับได้ที่บ้านใน ม.11 ต.หนองไข่น้ำ อ.หนองแค จ.สระบุรี
พล.ต.ต.จิรภพกล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมามีครอบครัวผู้เสียหายเข้ามาร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงเอาเงินด้วยการสร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จ
โดยการใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี และโซเชี่ยลมีเดีย ตัดต่อข้อความ ไฟล์เสียง
แอบอ้างเป็นบุคคลใกล้ชิดข้าราชการในหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน ปลอมแปลงเอกสารราชการ เอกสารสำคัญ ปลอมแปลงภาพ ข้อความ และ ข้อความเสียง
เพื่อความสมจริงและสร้างความน่าเชื่อถือ จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ มอบทรัพย์สินให้คนร้ายหลายครั้ง รวมทั้งสิ้นกว่า 2,690,000 บาท
พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวว่า หลังรับเรื่องได้ลงพื้นที่สืบสวน ทราบว่าผู้ต้องหาได้เริ่มจากสร้างเฟซบุ๊กชื่อว่า Chrysilla Celandina Celia
นำภาพดารานางแบบชาวต่างชาติหน้าตาดีมาแอบอ้างตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ สร้างเรื่องราวว่ามีฐานะร่ำรวย อาศัยอยู่ต่างประเทศ
อ้างเป็นหลานผู้พิพากษา หรือไม่เป็นหลานของนักธุรกิจยานยนต์ย่านสาทร มีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการ
รวมทั้งยังเป็นเพื่อนกับพนักงานอัยการ และ รู้จักกับทนายความชื่อดัง จนมีผู้ติดตามตัวในโซเชี่ยลมีเดียกว่า 20,000 คน
พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นจะหาเหยื่อผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ออนไลน์ เลือกเหยื่อจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ
จนพบลูกชายของครอบครัวผู้เสียหาย เมื่อปลายปี 2562 ได้แชตพูดคุยกันจนสนิทสนม จนรู้จักทุกคนในครอบครัว
ก่อนจะวางแผน ยุยง ปลุกปั่น สร้างเรื่องราว ปลอมแปลงแชท ตัดต่อคลิปเสียงหลอกลวงคนในครอบครัวผู้เสียหายให้เกิดความบาดหมาง หวาดระแวงกันเองในครอบครัว
เพื่อจะได้ทราบความเคลื่อนไหวของทุกคน เช่นเมื่อทราบว่า พ่อของผู้เสียหายนำรถยนต์ไปใช้ยังไม่กลับบ้าน
จะออกอุบายเป่าหูภรรยาสร้างเรื่องหลอกลวงว่า รถถูกนำไปจำนำในตลาดมืด แต่ตนสามารถไถ่ถอนรถคืนมาได้
พร้อมส่งภาพเล่มทะเบียนรถ และเอกสารการจำนำรถที่จัดทำปลอมขึ้นส่งให้ดูและพูดโน้มน้าว จนภรรยาผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าไถ่ถอนรถยนต์ เข้าบัญชีของผู้ต้องหากว่า 1,530,000 บาท
พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้สร้างเรื่องหลอกลวงว่า พ่อของผู้เสียหายติดการพนันอย่างหนัก ให้นำเงินมาเก็บไว้ที่ผู้ต้องหา
จนภรรยาเหยื่อหลงเชื่อ โอนเงินไปให้อีก 1,110,000 บาท รวมทั้งหลอกลวงเอาเงินของผู่เสียหายเพิ่มบอกว่าได้ส่งของมีค่าและของแบรนด์เนมหลายชิ้น
อาทิ นาฬิกาหรูมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท มาให้ภรรยาผู้เสียหาย แต่พ่อของเหยื่อเป็นคนไม่ดีขโมยไปก่อนที่ผู้เสียหายจะได้รับ เรื่องนี้ได้ไปแจ้งความตำรวจท้องที่ไว้แล้ว
ก่อนนำเอกสารราชการที่ทำปลอมขึ้นมาหลายฉบับ เช่น บันทึกประจำวันการแจ้งความร้องทุกข์, เอกสารประกอบคดีต่างๆ,หมายจับ และ เอกสารราชการอื่นๆ ส่งให้กับผู้เสียหายดูเพื่อให้สมจริง
จากนั้นได้ข่มขู่เรียกเงินค่าเคลียร์คดี 9 แสนบาท รวมถึงยังแอบอ้างว่ามีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับสูง
ปลอมแปลงข้อความเสียงเหมือนพูดคุยกับตำรวจผู้ใหญ่จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินให้ก่อน 50,000 บาท ส่วนที่เหลือจะขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน พร้อมกับทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 850,000 บาท ขึ้นมา
“หลังจากผู้เสียหายตกลงทำสัญญากู้เงินแล้ว ผู้ต้องหาได้ปลอมเอกสารเอกสารราชการของศาลและอัยการ
ทำทีว่าได้มีการฟ้องร้องผู้เสียหายต่อศาลแพ่ง ปลอมแปลงหมายเรียกและหมายจับของศาลขึ้นทั้งฉบับ ตัดต่อคลิปเสียง
อ้างว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปติดตามจับกุมผู้เสียหายที่บริเวณหน้าบ้านพัก ปลอมเอกสารของบริษัทที่ผู้เสียหายทำงานอยู่
แอบอ้างว่าจะมีเจ้าหน้าที่จะเข้ามาติดตามจับกุมผู้เสียหายที่ทำงาน จนเป็นเหตุให้ครอบครัวของผู้เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง
จากเหตุการณ์ที่ครอบครัวผู้เสียหายนี้ประสบมา ถึงขั้นทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว เนื่องจากผู้ต้องหาใช้อุบายหลอกลวงเอาเงินเก็บในวัยเกษียณของครอบครัวไปจนหมด
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนยังคงให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่นำตัวส่ง สน.ภาษีเจริญ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบพบเคยมีประวัติถูกดำเนินคดีร่วมกันฉ้อโกง ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.2553 แต่หลบหนีการจับกุมจนหมายจับหมดอายุความในปี พ.ศ.2563 ก่อนจะมาก่อเหตุดังกล่าว
จากพยานหลักฐานต่างที่ตรวจยึดได้ พบว่า ผู้ต้องหาได้ตัดต่อรูปภาพของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ และหน่วยงานราชการอื่นๆ ไว้ด้วยกันหลายรูปภาพ
หนึ่งในนั้นมีรูปภาพของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. ที่ถูกตัดต่อขึ้นมาทำให้ดูเหมือนว่ารู้จักสนิทสนมกัน
จนน่าเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาอาจมีการใช้ภาพตัดต่อดังกล่าวเหล่านี้ แอบอ้างสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเองเพื่อใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ
รวมทั้งยังแปลงเสียงแอบอ้างเป็น ผบช.ภ.1 ผู้พิพากษา และผู้ใหญ่อีกหลายคน
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปิดบัญชีแอพลิเคชั่นไลน์ เฟซบุ๊ก และแอพลิเคชั่นหาคู่ แชทพูดคุยกับเหยื่อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมกว่า 100 คน
ทุกคนยังคงเชื่อในตัวผู้ต้องหาว่า ไม่ได้เป็นคนไม่ดีแต่อย่างไร ทั้งที่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อนเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดต่อไป