ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เปิดสถิติคดีออนไลน์ลดลงกว่า 392 เคส มูลค่าความเสียหายลดกว่า 195 ล้านบาท พบรอบสัปดาห์คนร้ายฉวยโอกาสวิกฤติน้ำท่วมปล่อยข่าวลวงเหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว-โอนเงิน ซ้ำเติมประชาชน
ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC)
อาทิตย์ที่แล้วรับแจ้ง6พันเคสเสียหาญ424ล.
ตั้งแต่วันที่ 23-29 พ.ย.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline 6,533 เคส มูลค่าความเสียหาย 424,787,924 บาท คดีที่รับแจ้งลดลงจากห้วงวันที่ 16-22 พ.ย.68 จำนวน 392 เคส และมูลค่าความเสียหายลดลง 195,750,710 บาท
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จำนวนคดีลดลงต่อเนื่อง และมูลค่าความเสียหายลดลง คิดเป็น 31.40 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงประสิทธิภาพของมาตรการป้องปราม และการแจ้งเตือนภัยที่เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น
บี้หนัก“ม้าข้ามแดนหนีตาย”
แต่เนื่องด้วยสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการกวาดล้าง “ศูนย์สแกม Shwe Kokko” ในเมียนมา มีการจับกุมชาวต่างชาติกว่า 900-1,700 คน เกิดปรากฏการณ์ “ม้าข้ามแดนหนีตาย” (The Great Displacement) ประกอบกับประเทศไทยที่มีปฏิบัติการ “ล่าบัญชีม้า”จำนวนมาก
คาดเผ่นใต้ตั้งฐานหลอกเหยื่อน้ำท่วม
บีบให้ขบวนการต้องดินรนหาทางออกใหม่ สถานการณ์นี้ทําให้เกิด “ภาวะรังแตก” (Displacement) กลุ่มมิจฉาชีพ บางส่วนต้องย้ายฐานหนีตาย และคาดว่าจะฉวยโอกาสใช้สถานการณ์ “อุทกภัยในภาคใต้ของไทย” เป็นฉากบังหน้าเพื่อแทรกซึมเข้ามาแฝงตัว หรือใช้ความวุ่นวายของภัยธรรมชาติ เป็นเครื่องมือในการ “ปั่นกระแสข่าวลวง” เพื่อหลอกลวงเหยื่อที่กําลังตื่นตระหนก
ใช้”ข่าวลวงซ้ำเติมวิกฤต”
ด้วยการใช้เทคโนโลยีส่งสัญญาณปลอม (Fake Base Station) ฉวยโอกาสส่ง “ข่าวลวงซ้ำเติมวิกฤต” (Disinformation & Crisis Exploitation) สร้าง Fake News หรือคอนเทนต์บิดเบือนเกี่ยวกับสถานการณ์ น้ำท่วม เพื่อปั่นยอด Engagement และล่อลวงเหยื่อ (โดยพบระบาดในมาเลเซียขณะนี้)
เฟซปลอมสวมรอยรัฐช่วย
มีการส่งข้อความปลอมเข้ามือถือผู้ประสบภัย อ้างเป็นหน่วยงานรัฐแจ้งเตือนภัย หรือแจกเงินเยียวยา ก่อนหลอกดูดข้อมูล ขณะเดียวกันมีการสร้างเพจเฟซบุ๊กปลอมสวมรอยระดมทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเร่งด่วน ใช้เงื่อนเวลามากระตุ้นให้คนโอนไวโดยไม่ตรวจสอบ
หลอกซื้อขายสินค้ายังอันดับ1
อีกสิ่งที่น่าสนใจคือในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า การรับแจ้งความผ่านThai Police online หากนับเชิงปริมาณคดี อันดับ 1 ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ เนื่องจากเป็นภัยพื้นฐานที่เข้าถึงเหยื่อได้ง่ายที่สุด
ลวงโอนเงินรับรางวัลตามมาติดๆ
แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ “คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล” ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ตามมาติดๆ ขณะที่ หลอกให้โอนทำภารกิจ อ้างหารายได้ และการข่มขู่ทางโทรศัพท์ เป็นอันดับที่รับแจ้งความรองลงมาตามลำดับ
ขณะที่หากเทียบเชิงมูลค่าความเสียหาย จะพบว่า การหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล กลายเป็นอันดับ 1 แทนคดีหลอกลงทุน ที่ครองแชมป์ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้
เริ่มหาเหยื่อสายมู
แสดงให้เห็นว่าคนร้ายเปลี่ยนเป้าหมายจาก “การหาเหยื่อรายใหญ่” มาเป็น “การกวาดต้อนเหยื่อรายกลาง” จำนวนมากที่หลงกลอุบายของมิจฉาชีพ และเชื่อเรื่องโชคลาภแทน ซึ่งแม้มูลค่าความเสียหายรายคนอาจจะไม่ได้มากเท่ากับการลงทุน
แต่เมื่อรวมการหลอกเป็นจำนวนมากแล้วกลับสร้างความเสียหายมหาศาล ขณะที่การข่มขู่ทางโทรศัพท์ ,หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษและหลอกลวงซื้อขายสินค้าบริการ มีมูลค่าความเสียหายที่รับแจ้งรองลงมาตามลำดับ
ตัวอย่างคดีที่มีการหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล และมีมูลค่าความเสียหายสูงสุดในรอบสัปดาห์ คือ คดีที่ผู้เสียหายได้โพสต์ขายเครื่องปั๊มนมผ่านทางเฟซบุ๊ก ก่อนจะมีมิจฉาชีพติดต่อมา ก่อนลวงให้สแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อที่จะเข้ากลุ่มโอเพนแชทไลน์ จากนั้นเมื่อเข้ากลุ่มโอเพนแชทไลน์แล้ว จะให้โพสต์สินค้า ก่อนจะให้ผู้เสียหายโอนเงินสมัครสมาชิก อ้างว่าจะได้เงินกลับคืนมา
จากนั้นให้เข้าร่วมกิจกรรมในการทำแพลตฟอร์มโอนเงินเพื่อได้ผลตอบแทน แต่เมื่อผู้เสียหายโอนเงินแล้ว กลับไม่ได้รับผลตอบแทน โดยคนร้ายหาเงื่อนไข และขออ้างเพื่อให้โอนเงินไปอย่างต่อเนื่อง พบมูลค่าความเสียหายรวม 6,293,731บาท
หลอกเทรดหุ้นมูลค่าเสียหายสูงสุด
ส่วนคดีที่มีการหลอกลงทุน และมีมูลค่าความเสียหายสูงสุด คือคดีที่ผู้เสียหายเห็นโฆษณาเทรดหุ้นผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อสนใจ ได้มีการแอดไลน์กันเพื่อคุยรายละเอียด ก่อนที่คนร้ายจะเริ่มให้โอนเงินเข้าไปเทรดหุ้นหลายครั้ง แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินออกได้ พบมูลค่าความเสียหายรวม 17,655,695.62 บาท
อาทิตย์ที่แล้วช่วยทัน9เคส
ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงทีเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 9 เคส
ระงับก่อนโอน1,554,000 บาท
เราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมด9 เคสเช่นกัน คิดเป็นเงินกว่า 1,554,000 บาท มีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้
เคส 1 เจ้าหน้าที่ศูนย์ ACSC สามารถช่วยเหลือน.ส.ทิพานัน ได้ทัน หลังถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินเกี่ยวกับเรื่องการซื้อขายอุปกรณ์ทางทหารไป 6-7 ครั้ง รวมเป็นเงินร่วม 3 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถอายัดบัญชีได้ทันท่วงที ก่อนจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสมุทรปราการ เข้าตรวจสอบและพูดคุยกับผู้เสียหาย ก่อนแนะนำการแจ้งความ
เคสที่ 2 เคสนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมบัญชีม้าที่ถอนเงินสดในพื้นที่ จ.มหาสารคาม ก่อนจะมีการประสาน warroom ของศูนย์ ACSC ตรวจสอบยอดเงินเข้าบัญชี จากนั้นทางศูนย์ฯจึงได้ประสานท้องที่เข้าช่วยเหลือและระงับการโอนเงินทันที
เคสนี้นางกุสุมาลย์ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล โปรโมทสินค้าอ้างว่าจะได้ผลตอบแทน โดยเป็นการโอนเงินไปกว่า 290,000 บาท
เคสที่ 3 นางสุวรรณา ผู้เสียหายถูกคนร้ายอ้างโทรมาจากไปรษณีย์ ได้ส่งเอกสารที่ต้องกรอกประวัติใหม่ แต่ไม่มีคนรับเอกสาร โดยอ้างว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการกรอกข้อมูลเพื่อดำเนินการเปลี่ยนบัญชีรับเงินบำนาญ
จากนั้นชักชวนเข้ากลุ่มไลน์วัยเกษียณ และมีการหลอกลวงหลายรูปแบบ จนสุดท้ายเหยื่อสูญเงิน 129,860 บาท ซึ่ง warroom ได้ทำการมอนิเตอร์ เมื่อพบการทำธุรกรรมผิดสังเกต จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ศาลาแดง เข้าช่วยเหลือเหยื่อ พร้อมระงับการโอนเงินทันที ก่อนแนะนำอายัดบัญชี และทำการแจ้งความต่อไป

























