ภาพยนตร์แนวซูเปอร์สตาร์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการบันเทิง ทุกย่างก้าวของชีวิตล้วนถูกสาธารณชนจับตามอง
สตาร์ดังบางคนเชื่อว่าความรุ่งโรจน์นั้นจะคงอยู่ตลอดไป ชีวิตที่ห้อมล้อมด้วยความสำเร็จทำให้หลงระเริง ขาดความยั้งคิด และหลายครั้งที่ตัดสินใจผิดพลาด
แต่แล้วชื่อเสียงที่โด่งดังก็ค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา มีคลื่นลูกใหม่มาแทนที่คนเคยรายล้อมทยอยหายหน้า
แต่เพื่อพิสูจน์ว่าดาวดับก็ยังสามารถส่องแสงอดีตดาวดังเหล่านี้ก็ปลุกความมุ่งมั่นลุกขึ้นอีกครั้งในการกลับคืนสู่เวที
พล็อตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกในวงการภาพยนตร์
เราจะเห็นงานแนวนี้ในหนังต่างประเทศหลายเรื่อง อย่างเช่น A Star Is Born (2018) เรื่องของอดีตนักร้องคันทรี่ที่กำลังตกอับ ขี้เหล้าเมายา พบรักกับนักร้องสาวหน้าใหม่ และต้องต่อสู้กับปัญหาชื่อเสียงและชีวิตส่วนตัว
หรือเรื่อง Crazy Heart (2009) ที่ว่าด้วยนักร้องคันทรี่รุ่นเก๋าที่เสื่อมความนิยม ที่พยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่และคืนสู่เวทีเพลง กับอีกเรื่องคือCountry Strong (2010) เป็นเรื่องของซูเปอร์สตาร์สาวฝั่งดนตรีคันทรี่พยายามกลับสู่วงการหลังผ่านปัญหายาเสพติดและความกดดันหลายอย่าง
และอีกเรื่องก็ Begin Again (2013) เมื่อโปรดิวเซอร์เพลงที่เคยโด่งดังพยายามกอบกู้ชีวิตที่พัง ๆ กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง
แต่สำหรับหนังไทยก็ไม่ค่อยได้หยิบจับพล็อตดังกล่าวมาเล่านัก
ล่าสุดเรื่องราวในมุมนี้ก็ถูกถ่ายทอดออกมาจากค่ายหนัง “จีดีเอช” ส่งมาปิดท้ายปี 2568 เป็นภาพยนตร์แนวมิวสิคัล-คอมีดี้ ชื่อ Diva La Vie – “ดีว่า..ราวี”
กำกับโดย “กิตติภัค ทองอ่วม” ที่เคยโชว์ให้เห็นฝีมือกันมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง “ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะเฟค” และ “ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะซีรีส์”
Diva La Vie เล่าเรื่องของการพยายามคัมแบ็คของอดีตนักร้องสาวระดับซูเปอร์สตาร์ของประเทศ หลังจากชีวิตอันรุ่งเรืองตกวูบลง แต่จะหวนคืนกลับมาจับไมค์ให้ไฟส่องหน้าอีกครั้งดันไม่ง่าย เพราะผ่านพ้นยุคของเธอไปแล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=8qJq1LOaptA
การจะทวงบัลลังก์ในยุคเด็ก “เจน ซี” (Gen Z) ที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยี ทำให้เธอต้องพึ่งพาอาศัยศิลปินรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีวิถีในการสร้างชื่อเสียง สร้างตัวตนในแบบศิลปินยุคก่อน ๆ ซึ่งการร่วมงานที่ควรจะเดินไปด้วยความสมานฉันท์ กลับเป็นการปะทะกันแบบถึงพริกถึงขิงแบบไม่มีใครยอมใคร!

ตัวละครเอกของเรื่องก็คือ “ปลายฝัน มาร์กาเรต เฮง” รับบทโดย “ชาเคอลีน มึ้นช์” นักร้องระดับดีว่าเจ้าของเพลง “อัศศะจอรอหัน” ที่เคยทุบสถิติยอดขายถล่มทลายถึง 2 ล้านตลับแห่งยุค 90s
แต่แล้วก็ห่างหายวงการไปนานหลายปี ชีวิตที่เคยรุ่ง ก็ร่วงกราวรูด ทว่าหญิงสาวก็ไม่ทิ้งนิสัยเสียที่ทำให้เพื่อนพ้องในวงการต่างเอือมระอา
เธออยากกลับสู่วงการเพลงอีกครั้ง และได้แรงสนับสนุนจาก “ป้ากบ” รับบทโดย “นิมิต ลักษมีพงศ์” อดีตผู้จัดการส่วนตัวที่แยกทางกันไป ซึ่งก็ตกอับไม่ต่างกัน เพราะขณะที่ยังรุ่ง ๆ นั้นก็เปรี้ยวใส่ผู้คนไม่เบา
“ป้ากบ” เป็นคนที่มองออกว่าการที่ “ปลายฝัน มาร์กาเรต เฮง” จะคืนวงการได้ต้องได้ตัวช่วยที่ปังเว่อร์
เรดาร์ของผู้จัดการสาวสองรุ่นเดอะ แนะให้เธอชักชวน “แก๊งตาคลี” ศิลปินและอินฟลูเอนเซอร์ที่ชื่อเสียงกำลังมา มียอดฟอลโลเวอร์หลายล้าน

ประกอบด้วย 3 สมาชิกคือ “พิตต้า พี” รับบทโดย “ธงชัย ทองกันทม” ตำแหน่งแรปเปอร์ปากแซ่บ, “คอปเตอร์” รับบทโดย “นุนิว – ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์” ฉายา “พรินซ์ ออฟ ทีป็อป” และ “ไลลา”รับบทโดย “นินิว – เพชรด่านแก้ว” ลูกทุ่งสาวสายมูเตลู มีเจ้ามาประทับทรงอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยความต่างแบบสุดขั้ว ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง “ปลายฝัน มาร์กาเรต เฮง” และ “แก๊งตาคลี” ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น เลยไปถึงขั้นแตกหักแต่เพื่อให้งานเดินไปอย่างที่ตั้งใจ
อดีตซุปตาร์สาวแก้ปัญหาโดยบินลัดฟ้าถึงเกาหลีเชื้อเชิญให้ “อเล็กซ์ คิม” รับบทโดย “หฤษฎ์ บัวย้อย” มาช่วยกู้คืนคอนเสิร์ตที่กำลังจะพังพินาศ
และแล้วการมาของไอดอล เค-ป็อป แดนกิมจิ ก็ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแบบที่ทุกคนไม่คาดฝัน
Diva La Vie ฉายทางของการทำงานและลายเซ็น “กิตติภัค ทองอ่วม”อย่างชัดเจน ดราม่าและอารมณ์เดินไปด้วยกันอย่างกลมกล่อม

เรียกว่าหนังทำได้ตามสูตร และฟีลกู้ด ไม่ประหัตประหารหัวใจคนดู
สารที่สื่อออกมาก็ให้แง่คิดสำคัญหลายประการ อย่างจะแจ้งก็คือการบอกเล่าว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงเสมอ ความสำเร็จนั้นไม่จีรัง ดังนั้นอย่าประมาทหลงเพริศไปกับช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์
การรักษาวินัย ความรับผิดชอบ และตัวตนที่แท้จริงสำคัญกว่าชื่อเสียงที่มาเหมือนพลุสว่างวาบชั่ววูบบนท้องฟ้า
และเมื่อความพลาดผิดในอดีตไม่อาจย้อนคืนไปแก้ไข
สิ่งที่ทำได้ในปัจจุบันก็คือการยอมรับความผิดพลาดนั้น จดจำไว้เป็นบทเรียน ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง และเริ่มต้นใหม่ให้สง่างาม.
Blue Bird 13/12/68

























